วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อายุวัฒนะ ตำรับยาแก้โรค


อายุวัฒนะ ตำรับยาแก้โรค
เรียบเรียง...หมอเมือง สันยาสี

 กล่าวนำ

คำว่า อายุวัฒนะ คือคำที่ใช้เกี่ยวกับยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว จะว่าเป็นถ้อยคำโอ้อวดชวนเชื่อก็ใช่ที่ เพราะท่านใช้อย่างนี้มาแต่ดึกดำบรรพแล้ว บางคนว่า ถ้าเป็นยาอายุวัฒนะกินแล้วก็ไม่รู้จักตายสิ จะเป็นถ้อยคำกล่าวแบบไหนท่านก็พิจารณาเอาเอง ผมขอใช้ชื่อนี้กล่าวถึงตำรายาทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงร่างกายก็แล้วกัน ซึ่งมีมากมายในตำรายาไทยโบราณ ผู้อ่านสนใจตำรับไหนก็เชิญเอาไปปรุงรับประทานดู ผมมีหน้าที่เผยแพร่ความรู้ให้ข้อมูลตามโบราณซึ่งท่านใช้สืบๆ กันมาว่าได้ผลดีเท่านั้น

บางตำราก็มีเรื่องเล่าความเป็นมาประกอบไว้ด้วย คนโบราณมีศีลธรรมประจำใจคงไม่โกหกหลอกลวง เพราะโบราณท่านมิได้หวังผลการค้าพาณิชย์อะไรเหมือนในสมัยนี้ ใครมีอะไรดีท่านก็จารึกลงในใบลานบ้าง ในแผ่นทองบ้าง ฝังไว้ในพระธาตุเจดีย์ก็มี  ใส่พานไว้บูชาก็มี คนรุ่นหลังบางคนเห็นคุณค่าก็นำออกมาเผยแพร่ บางคนไม่เห็นคุณค่าเอาเผาไปกับผู้ตายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มี เรื่องแบบนี้ก็มีมาก เพราะบางแห่งก็เป็นประเพณีที่สืบต่อมาแต่โบราณ ดุจที่จารึกไว้ในกฎหมายของเมืองพะเยาอันว่าด้วยหลักเจริญเมือง คือหลักการทำความเจริญให้เกิดขึ้นกับบ้านเมือง อันเป็นข้อที่ 7 ความว่า คน 3 จำพวกนี้เขาตายอย่าสืบแทนเขา ลูกหลานเขามีก็ให้สืบแทนต่อๆ กันไป หากไม่มีลูกหลานก็ให้เอาเผาไฟไหลน้ำเสีย แต่ก็เป็นในพื้นที่นั้นๆ หรือใกล้เคียงที่ได้รับอิทธิพลมาจากเมืองพะเยาแต่โบราณ ตำราที่สืบทอดกันมา คงได้มาในสมัยหลัง หรือได้มาจากแหล่งอื่นๆ จึงสามารถสืบทอดมาถึงรุ่นของพวกเราได้ จนถึงมือหมอเมืองที่จะนำมาเปิดเผยให้ท่านได้แสวงหาความรู้กันต่อไปอีก

แต่เพราะมันมีที่มาจากหลายตำรา จึงไม่สะดวกที่จะกล่าวถึงที่มา เอาว่าเป็นของเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาเป็นใช้ได้ ผมนิยมยาอายุวัฒนะ เพราะเป็นยารักษาก่อนเป็น คือสร้างร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคได้ดี สามารถรักษาอาการป่วยที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายได้ดี ซึ่งส่วนมากจะเป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันสูง เบาหวาน อัมพฤกต์อัมพาต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคผอมแห้ง อ้วนเกินไป ผอมเกินไป แก่เร็วเกินไป พวกนี้ล้วนเกิดจากร่างกายขาดความสมดุลย์ ธาตุไม่ปกติ ยาอายุวัฒนะนั้นสร้างธาตุให้ปกติ เมื่ออะไรๆ มันปกติมันก็ดีเหมือนคนหนุ่มที่สมบูรณ์แข็งแรง ความรู้สึกอะไรที่คนหนุ่มเคยมีและหายไปมันก็กลับคืนมา

ทีนี้ตำรับยานี้มันมีมากมาย เมื่อท่านอ่านดูแล้วมันก็มีสรรพคุณตรงกัน คือ กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายคล่อง ท้องไม่ผูก ถ้ามีเหตุให้เป็นอย่างนี้มันก็เกิดผลขึ้นมา คือร่างกายอุดมสมบูรณ์แข็งแรงการหมุนเวียนโลหิตก็ดี น้ำเลือดน้ำเหลืองก็สมบูรณ์ดี ผิวพรรณสวยสดงดงาม แล้วจะเอาโรคภัยมาแต่ไหน ร่ายกายเรานี้เป็นโรงงานวิเศษ มันรู้จักคัดแยกดูดซึมเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ไปใช้ด้วยความเหมาะสม แต่ถ้าธาตุผิดปกติเสียแล้วก็เหมือนเครื่องจักรกลมันชำรุด ประสิทธิภาพในการคัดเลือกแจกจ่ายมันก็เสียหาย การฟื้นฟูสุขภาพจึงต้องฟื้นฟูธาตุให้สมดุล

ยาอายุวัฒนะทุกขนานล้วนเป็นยาปรับธาตุทั้งนั้น แต่การจะใช้ตำรับไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวสมุนไพรที่จะใช้ว่าหาได้ยากหรือง่าย อันไหนมันยาก ไม่รู้จัก ก็ไม่ต้องหาต้องทำ เลือกเอาที่ง่ายๆ ทดลองทำกินดูก่อน แต่บางขนานมันไม่เหมาะกับเราก็มี ตามที่เขาว่าลางเนื้อชอบลางยา ใช่ว่าเป็นอายุวัฒนะก็กินได้เหมือนกันทุกคน ขึ้นอยู่กับธาตุของแต่ละบุคคล เช่นธาตุไฟมากแล้วไปกินยาร้อน แทนที่จะดีกลับจะเจ็บป่วยเอา ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นคนหนุ่มแล้วไปกินยาคนแก่ แทนที่จะดีก็กลับจะแย่เอา ความจริงมันก็มีเรื่องละเอียดอ่อนอยู่เหมือนกัน การปรึกษาผู้รู้ก่อนใช้ก็เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 1

ยาขนานนี้เป็นตำราเมืองเหนือ เกิดขึ้นในสมัยที่พม่าครองเมืองล้านนาถึง 200 กว่าปี (ตั้งแต่ พ.ศ.2094-2324) คนเมืองเหนือและคนพม่าก็มีความสนิทชิดใกล้กัน ไปมาหาสู่กันมิได้ขาด มีเรื่องเล่าว่า ยังมีกะทาชายนายหนึ่งอายุมากแล้ว เมื่อภรรยาถึงแก่กรรมลูกหลานก็ไม่เหลียวแล ร่างกายก็ซูบผอม กินไม่ได้นอนไม่หลับ หาเรี่ยวแรงมิได้ จึงระหกระเหินออกจากบ้านไปพบพระพม่ารูปหนึ่งก็ขออาศัยข้าวก้นบาตรท่านยังชีพ คอยรับใช้ท่านไปในตัว พระท่านเห็นร่างกายหาเรี่ยวแรงมิได้ก็ประกอบยาให้รับประทาน ผ่านไป 1 เดือนร่างกายก็กลับมีกำลังวังชาขึ้นมา โรคภัยที่เคยเป็นก็หายไป ต่อมาพระพม่าเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติของท่านในประเทศพม่า ชายชราคนนี้ก็ติดตามไปด้วย และกินยานี้อยู่ประจำ อยู่พม่าได้ปีเศษ ร่างกายก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ผมที่ขาวโพลนก็กลับดำ ผิวพรรณวรรณะก็เปล่งปลั่ง ผิวหนังเต่งตึงดูเหมือนคนอายุสามสิบเศษ

เมื่อพระพม่าเดินทางกลับไทยก็ติดตามกลับมาด้วย แล้วกลับไปเยี่ยมลูก ๆ ญาติ ๆ ในหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็จำแกไม่ได้ ดูก็คลับคล้าย คนทั้งหมู่บ้านแปลกใจพากันมาดู บ้างก็ว่าใช่ บ้างก็ว่าไม่ใช่ ทั้งนี้เพราะแกเปลี่ยนเป็นคนหนุ่มเร็วเกินไป อายุ 75 ปีกลับกลายเป็นดุจอายุสามสิบกว่าปีมันก็น่าฉงนอยู่ ต่อมาแกก็ได้เมียสาวคราวลูก มีลูกอีก 3 คน แล้วท่านก็ได้บอกตำรายาของพระพม่าไว้ให้คนทั้งหลายได้ปรุงกิน คนมีบุญทำกินก็ได้ประโยชน์ไปตามนั้น คนไม่มีบุญก็ไม่เชื่อ ก็หาทำกินกันไม่ ก็เป็นเช่นนี้มาทุกยุคสมัย ถ้าไม่เป็นดังนี้ คนเชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็คงเป็นหนุ่ม อายุยืนยาวกันหมดแหละครับ ตำรายามีดังนี้

1. รากช้าพลู 1 ตำลึง

2. รากมะแว้งต้น 1 ตำลึง

3. รากมะแว้งเครือ 1 ตำลึง

4. รากมะเขือขื่น 1 ตำลึง

5. เถาบอระเพ็ด 1 ตำลึง

 6. รากเจตมูลเพลิง 1/2 ตำลึง

เมื่อได้ตัวสมุนไพรมาครบแล้วต้องล้างให้สะอาด แล้วสับเป็นชิ้น ๆ ตากแดดให้แห้งดีแล้วจึงบดให้เป็นผง จากนั้นจึงนำขึ้นเครื่องชั่ง ไม่จำเป็นต้องให้ได้ 1 ตำลึง จะเป็น 100 กรัมก็ได้ ส่วนรากเจตมูลเพลิงใช้ครึ่งขีดก็พอ จากนั้นจึงผสมน้ำผึ้งให้เปียกแล้วใส่ภาชนะปิดฝาให้มิดชิด เก็บไว้ในที่ร่ม (ตำราว่าฝังในข้าวเปลือก 7 วัน)เป็นเวลา 7 วัน จึงนำออกรับประทานทุกวัน ๆ ละ 1 เม็ดพุทราดิบ ท่านว่าภายใน 6 เดือนร่างกายจะแปรเปลี่ยนอย่างอัศจรรย์  ผมยังไม่ได้หาสมุนไพรมาทดลองปรุงกินดู สมุนไพรพวกนี้หาได้เองยิ่งดี เพราะได้สมุนไพรสดใหม่ สะอาด และของจริงแท้ ถ้าซื้อจากร้านยาสมุนไพรไม่แน่นอน ที่ไม่ค่อยเข้าท่าคือไม่สะอาด เราจะเอามาล้างตอนมันแห้งแล้วก็ไม่สะดวก จึงควรแสวงหาตามบ้านนอกคอกนานั่นแหละ หาได้ง่ายครับ

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 2

เรื่องฝอยตำราโบราณบางทีก็ฟังหูไว้หู เพราะท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงให้เห็นคุณภาพของยาเท่านั้นว่าวิเศษจริง คนที่เอามาทำกินจริง ๆ ก็บอกว่าดีมาก แต่ไม่ถึงขนาดมีหูทิพย์ตาทิพย์หรอก นอกจากผู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงขั้นได้ฌาน 4 ฌาน 8 โน่นแหละจึงจะได้ฤทธิ์เดชดังว่า แม้พระอินทร์ก็คงลงมาหาจริง ๆ เพราะพระอินทร์ท่านชอบทำบุญกับพระผู้วิเศษมีกิเลสอันเหือดแห้งแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ กินแล้วมีกำลังวังชา ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนก็ดีถมไปแล้ว ตำรายามีดังนี้ครับ

1. มหาหิงคุ์ 1 บาท

2. การบูร 2 บาท

3. ดอกดีปลี 3 บาท

4. ขิงแห้ง 4 บาท

5. เทียนทั้งห้า สิ่งละ 1 บาท

6. ผักแพวแดง 6 บาท

7. สมอทั้งสามสิ่งละ 7 บาท

8. โกฏสอ 8 บาท

9. โกฏเขมา 8 บาท 10. ลูกจันทร์ 9 บาท

10. พริกไทยล่อน 10 บาท

ท่านให้ทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้ง รับประทานเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ดพุทรา เป็นยารักษาธาตุให้บริบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดี รับประทานประจำจะทำให้มีอายุยืนยาว

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 3

ยาขนานนี้มีที่มาจากภาคใต้ของไทยเรา มีคนใช้กันเยอะ เพราะอยู่ในดงของอิสลามซึ่งชาย 1 คนสามารถมีภรรยาได้ 4 คน ภรรยาจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้สามีรักที่สุด ร.ต.อ.เปี่ยมได้นำมาเผยแพร่ แต่ผู้เขียนได้ตำรานี้จากน้องชายซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์อินทร์ วัดโขลงคูบัว ราชบุรี ท่านแนะนำให้คุณหญิงคุณนายที่สามีแอบไปมีเมียน้อยทำกิน สามีกลับมาหาทุกราย ผมก็มียานี้ไว้ประจำสำหรับคนมีปัญหาดังว่า ตำรายามีดังนี้

1. หัวไพล 1 ขีด

2. ขมิ้นอ้อย 1 ขีด

3. ขมิ้นชัน 1 ขีด

4. หัวแห้วหมู 1 ขีด

5. หัวกระชาย 1 ขีด 6. พริกไทยล่อน 2 ขีด

ต้องทำเป็นยาผงก่อน แล้วผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละไม่เกิน 2 เม็ดในพุทรา ถ้ารับประทานมากจะผายลมตลอด หรือถ้าเป็นคนธาตุร้อนหรือโรคไตไม่ควรกิน เพราะเป็นยาร้อน คนเฒ่าแก่กินดีมาก จะบำรุงธาตุไฟให้บริบูรณ์ และขับผายลมได้ดียิ่ง ตำราว่าแม้สตรีจะมีบุตรสัก 10 คนก็ยังเหมือนสาวน้อย

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 4

ตำรานี้ท่านพระยาเดโชได้มาจากประเทศเขมรคราวไปปราบเขมรที่เมืองเสียมราฐและได้เขมรมาเป็นเมืองขึ้นสมัยต้นกรุงโน่นแหละ ต้นตำราเป็นบทกลอนยาวเหยียด ความว่าท่านได้ไปวัดช้างเนียม หน้าเมืองโพธิสัตว์ เห็นอักษรจารึกที่ประตู ความว่า ครั้นจะเข้าก็กลัวติดลิขิตบอก ครั้นจะออกก็กลัวติดลิขิตไป เห็นเจ้าชีวิตคิดขยาดราชภัย ประนามัยหมอบประหม่าแหงนหน้ายลหน่วยตาเล็งเพ่งพิศพินิจทั่ว เอาที่ตัวตนติดอย่าคิดฉงน ท่านคิดปริศนาออก จึงขึ้นค้นบนซุ้มประตูวัดนั้นก็พบแผ่นทองคำจารึกด้วยอักษรขอมโบราณซ่อนไว้ที่ซุ้มประตู เมื่อเอามาอ่านดูก็เห็นเป็นตำรายาใช้ขับโรคสารพัด ตำรายามีดังนี้

1. สมอเขียว 5 ผล ลงพระเจ้า 5 พระองค์ (นะโมพุทธายะ)ทุกผล

2. เม็ดในสลอด 7 เม็ด ลงหัวใจพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ (สังวิธาปุกะยะปะ)

3. หัวแห้วหมู 3 หัว ลงมะอะอุ

4. หัวข้าวค่า 4 หัว ลงทุสะนะมิ

5. เถาบอระเพ็ด 3 ท่อน ๆ ละ 1 องคุลี ลงอิสะวาสุ

6. ใบคนทีสอ 32 ใบ ลงทวัตติงสาเสกด้วยอาการ 32

7. ยาดำ 1 บาท เสกด้วย เสกขาธัมมา อเสกขาธัมมา เนวเสกขานาเสกขาธัมมา

วิธีปรุงยานั้นมีขั้นตอนดังนี้ หลังจากลงอักขระปลุกเสกทุกสิ่งอันแล้วท่านให้แยกยาแต่ละชนิดใส่ถ้วยแต่ละใบ แล้วแช่น้ำผึ้งไว้ตั้งแต่วันเสาร์ จนครบ 1 อาทิตย์ จากนั้นเทน้ำผึ้งออกเอาแต่ตัวยา ยกเว้นที่แช่ใบคนทีสอเอาทั้งยาและน้ำผึ้ง นำตัวยาทั้งหมดมาบดคลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนแหลกละเอียดดีแล้วก็ปั้นเม็ดเท่าเม็ดพุทธรักษา (โตกว่าเม็ดพริกไทย)

วันแรกให้กิน 1 เม็ด วันที่ 2 กิน 2 เม็ด ตั้งแต่วันที่สาม กินวันละ 3 เม็ดตลอดไป กินได้ 15 วันโรคภัยหายสิ้น  ได้ 1 เดือน ผิวพรรณจะผุดผ่อง หากกินได้เดือนครึ่ง จะต้านยาพิษได้ กินได้ 2 เดือน ร่างกายเบา เดินเหินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หากได้ 3 เดือน สติปัญญาสมองปลอดโปร่ง

ท่านพระยาเดโชได้ตำรามาแล้วก็ทำตามตำรา ร่างกายท่านก็แข็งแรง ไม่เคยปวดเมื่อยอะไรเลย จากนั้นก็ลองให้คนที่เป็นโรคเรื้อนกินดู ไม่นานก็หายจากโรคเรื้อน ส่วนผู้ที่เป็นมะเร็งเรื้อรังมานาน เมื่อกินยานี้ก็หายเช่นกัน  หากเป็นริดสีดวงงอกที่ทวารหนัก พอกินยานี้ไม่นานมันก็หดหายไปไม่กลับคืนมาอีกเลย

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 5

1. หัวกระชายแก่ 4 บาท

2. เหง้าขิง 4 บาท

3. หัวกะทือ 4 บาท

4.ดอกดีปลี 4 บาท

5. เนื้อสมอไทย 4 บาท

6.โด่ไม่รู้ล้ม 4 บาท

7. รากเจตมูลเพลิงแดง 4 บาท

8. พริกไทยล่อน 10 บาท

9. หรดาลกลีบทอง 8 บาท

(คำว่า “บาท” เป็นมาตราส่วนของน้ำหนักโบราณ  ปัจจุบันนิยมใช้กรัม  ให้พิจารณาใช้ตามความเหมาะสม)

สมุนไพรเหล่านี้ต้องล้างให้สะอาดแล้วฝานหรือสับตากแห้ง แล้วบดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน รับประทานวันละ 1 เม็ดพุทรา ท่านว่าจะไม่มีอาการอ่อนเพลีย เดินทางไกล หรือขึ้นเขาลงห้วยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนรับประทานประจำแม้แก่เฒ่าก็จะกลับเหมือนคนหนุ่ม

ยาอายุวัฒนะตำรับที่ 6

ยานี้แก้โรคกามตายด้านของผู้ชาย ที่เรียกว่านกเขาไม่ขัน ชื่อสมุนไพรบางตัวก็แปลก ๆ มีเฉพาะบางท้องถิ่น มีตัวยา 7 ตัวคือ  สมุนไพรเหล่านี้ท่านไม่ได้บอกสัดส่วน ก็คงใช้แต่ละพอประมาณเท่าๆ กัน ล้างสะอาดดีแล้วตากแดดให้แห้ง ดองด้วยสุรา 45 ดีกรี ใส่น้ำผึ้งพอสมควร รับประทานเช้า-เย็น ครั้งละ 1 จอก ตัวยาประกอบไปด้วย

                1. โด่ไม่รู้ล้ม

2. หญ้าไก่นกคุ่ม

3. หญ้าสามสิบสองราก

4. หนาดพา

5. นาคมีแลน

6. หญ้าปฐม

7. ตำสอ

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 7

ให้เอา ขันเพชร เล็ดหนู สำคัญคู่เป็นตัวยา เถาวัลย์พรรณพฤกษา ต้นมรณาปลายยังเป็นสิทธิอาจารย์ว่าท่านให้เอาย่านเอ็น เส้นสายที่ตายเป็นจักคืนดี ถ้าต้มกินหม้อหนึ่งมิรำพึงถึงความตายเฒ่าชราฟันหาไม่ยังแค่นไปได้คืนละสามหน หมายความว่าเอาสมุนไพรดังต่อไปนี้คือ รากขันเพชร รากเร็ดหนู ต้นฝอยทองที่อยู่ตามต้นไม้ ย่านเอ็น เอามาต้มกินต่างน้ำ สัดส่วนเท่ากัน ใช้ตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอนก็ได้ หรือเอามาต้มกินน้ำก็ได้ ใช้ดองสุราดื่มทุกวันก็ได้ รับประทาน เช้า-เย็น

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 8

 ยาขนานนี้เป็นของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านบันทึกไว้แต่ปี 2409 เป็นตำรายาที่ขึ้นชื่อมาก ส่วนมากหมอยาในกรุงเทพ ฯ และภาคกลางล้วนรู้จักและปรุงกินกันมาก แต่ท่านว่าอายุหนุ่มน้อยกินไม่สู้ดี เพราะธาตุไฟแรงจะเผาร่างกายให้ผ่ายผอม เหมาะสำหรับคนอ้วนต้องการลดความอ้วนกินยานี้น่าจะดี ตัวยามีดังนี้

1. เปลือกทิ้งถ่อน

2. เปลือกตะโกนา

3. เถาบอระเพ็ด

4. เมล็ดข่อย

5. หัวแห้วหมู

6. หัวกระชาย

7.พริกไทยล่อน

ยาทั้งหมดสัดส่วนเท่ากัน ตากแห้งบดผงผสมน้ำผึ้งกินก่อนนอน วันละ 1-2 เม็ด ท่านว่ากินได้ 1 เดือนตัวพยาธิลำไส้ออกมาหมด หายจากอาการปวดเมื่อยอ่อนเพลียโดยไม่ต้องอาศัยหมอนวดบีบ การหมุนเวียนโลหิตดี เลือดลมไหลสะดวก เรื่องอย่างว่าก็สู้บ่ยั่นเหมือนกัน ถ้าเป็นพระทำฉันให้งดกระชายเสีย เพราะเป็นยาบำรุงกามารมณ์

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 9 (บำรุงร่างกาย)

1. กล้วยน้ำสุก

2. เนื้อมะตูมสุก

3. พริกไทยล่อน

เอาตัวยาทั้งหมดมาตำเข้าด้วยกัน แล้วทำเป็นแผ่นตากให้แห้ง จากนั้นก็ใส่ขวดโหล ใส่น้ำผึ้งให้ท่วมยา ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ 2 สัปดาห์ จึงเอาออกมารับประทานวันละ 1 ช้อนกาแฟ ผ่านไปเพียง 15 วันกำลังวังชาจะกลับคืนมา กินต่อไปถึง 30 วัน ผิวพรรณจะผุดผ่องเต่งตึง ความรู้สึกทางเพศก็กลับคืนดี คนอายุ 60 จะกลับมีแรงเหมือนอายุ 30 ปี ถ้ากินประจำจะมีอายุถึง 120 ปี

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 10 (บำรุงร่างกาย)

1. หัวขิง

2. หัวข่าเล็ก

3. หัวแห้วหมู

4.เถาบอระเพ็ด

5.ดอกดีปลี

6. กระเทียม

7. รากแจง

8.สมอเทศ

9. สมอไทย

10.สมอพิเภก

11.สมอดีงู

12.ลูกมะขามป้อม

สมุนไพรทั้งหมดนี้ใช้สัดส่วนเท่ากัน ตากแดดให้แห้งดีแล้วจึงทำเป็นยาผง ใช้ละลายน้ำร้อนรับประทานก่อนอาหารเย็น ทำให้นอนหลับสบาย ท้องไส้ทำงานดีไม่มีลมเบียดเบียน ร่างกายกลับแข็งแรง คนแก่ก็จะกลับเป็นหนุ่มสาว

เอายาทั้งหมดนี้มาตำเข้าด้วยกัน แล้วใส่โหลหรือกระปุกเก็บไว้รับประทานก่อนอาหาร หรือก่อนนอน เป็นยาขับถ่ายสิ่งโสโครกออกจากร่างกาย ถ้ารับประทานประจำโรคภัยหายหมด ผิวพรรณวรรณะก็ดีงาม กลิ่นตัวกลิ่นปากหรืออื่น ๆ จะหายไปหมด

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 11 (บำรุงร่างกาย)

ยานี้ชื่อยากำลังราชสีห์ ตัวยามี 5 อย่างด้วยกันคือ

1. เถาบอระเพ็ด

2. หัวแห้วหมู

3. หัวกระชาย

4. พริกไทยล่อน

5.เกลือสะตุ

เอาตัวยาทั้งหมดมาตำเข้าด้วยกันแล้วใส่โหล ใส่สุราให้ท่วมยา ปิดให้สนิทแล้วนำไปฝังโคลนที่ชายน้ำในวันแรม 14 ค่ำ พอขึ้น 15 ค่ำของอีกเดือนหนึ่งจึงไปขุดขึ้นมารับประทาน ก่อนอาหารเย็นครั้งละ 1 ถ้วย จะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยทั้งปวง จะมีกำลังดุจหนุมาน คำว่าแก่จะไม่มี ท่านว่าผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นจึงได้รับประทาน แต่เรื่องการหมักโคลนนั้นมีเหตุผลทีต้องการความเย็น สมัยนี้ใส่ตู้เย็นย่อมเหมาะสมกว่า

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 12 (บำรุงสมรรถภาพทางเพศ)

ยานี้ชื่อยาหมื่นศรี หมื่นศรีเป็นมหาดเล็กของเจ้าพระยาศรีธรรมโศก เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยโบราณ ท่านบันทึกเป็นบทกลอนด้วยภาษาขอมสืบทอดกันมาจนถึงเราๆ ท่านๆ ทุกวันนี้ ผมไปเที่ยวเมืองใต้นอนค้างอยู่ตามวัดวาอาราม ท่านเจ้าอาวาสยังกล่าวเป็นคำกลอนให้ผมฟัง แสดงว่าคนใต้หลายคนที่รู้จักยาของหมื่นศรี และหลวงตารูปหนึ่งในวัดนั้นซึ่งบวชตอนแก่ อายุท่านได้ 82 ปีแล้ว แต่ยังเป็นช่างไม้ยืนถือกบไสไม้ด้วยอาการทะมัดทะแมงราวกับคนหนุ่ม ท่านว่าสมัยเป็นฆราวาสท่านฉันยานี้ประจำ แต่สมัยต่อมากัญชาหายากจึงไม่ได้ปรุงฉัน แต่ฤทธิ์ยามันยังทำงานอยู่จึงทำให้ท่านยังแข็งแรงดุจคนหนุ่ม และร่างกายไม่อ้วนเหมือนคนแก่อื่น ๆ ต่อมาผมมาพบตำรานี้ในตำรายาของ ร.ต.อ.เปี่ยม บุญยะโชติ ซึ่งเป็นคนนครศรีธรรมราชเช่นกัน ท่านเคยเป็นเลขาท่านจอมพล ป.พิบูลสงครามสมัยยังเรืองอำนาจ และเป็นคนแต่งตำรับตำราไว้มากมายหลายเรื่อง เป็นผู้ที่ควรแก่การยกย่องบูชามาก ยาต่างๆ ผมได้จากตำราท่านมาก ตำราคนอื่นก็มี ผสมผเสกันไป จึงขอนำบทกลอนมาลงไว้

ถึงเกยกายก็ไม่สมอารมณ์หวัง

มานอนนิ่งเสียได้ไม่อินัง เอามือรอต่อตั้งไม่นำพา

ตาหมื่นศรีก็เชื่อเหลือปรากฏ จึงได้จดจำไว้ให้เร่งหา

หัวขิงแห้ง รากช้าพลู แห้วหมูมา ทั้งกัญชา ลูกจันท์และพริกไทย

หรดาลกลีบทองต้องสำเหนียก ดีปลีเชือกเหมือนว่าหามาใส่

ครบแปดสิ่งเสมอภาคไม่ยากใจ ใส่ครกใหญ่ตำผงให้จงดี

แล้วเสกด้วยคาถาตรีสิงเห สัมพุทเธให้งามตามดิถี

น้ำผึ้งรวงเป็นกระสายลายทันที เอายานี้กินลองสองสามวัน

คงจะเห็นฤทธาคุณยานี้ ตาหมื่นศรีเจ้ายาอุตส่าห์หมั่น

อายุแกแปดสิบเศษสังเกตกัน ภรรยานั้นมากมายหลายสิบคน

ตาหมื่นศรีกินยาอยู่บ่อย ๆ ว่าไม่น้อยไม่เท็จคืนเจ็ดหน

ภรรยาออกระอาไปทุกคน ที่เหลือทนก็หนีออกนอกคามา

ถ้าผู้ใดกินยาเหมือนว่าไว้ คงจะได้สมมาตรปรารถนา

ไม่หลอนหลอกบอกชัดตามสัจจา ถ้ามุสาขอให้ตกนรกเอย.

ตามบทกลอนนี้ หมายความว่า

1.หัวขิงแห้ง    2.รากช้าพลู    3.หัวแห้วหมู    4.กัญชา    5.ลูกจันท์   6.พริกไทย   7.หรดาลกลีบทอง   8.ดอกดีปลี

เอามาทำเป็นผงก่อน แล้วผสมน้ำผึ้งรวง   ขณะปรุงยาก็เสกด้วยคาถาตรีสิงเห และสัมพุทเธ ท่านว่ากินเพียง 2-3 วันก็จะรู้ว่ายาดีแค่ไหน   ผมเคยทดลองปรุงยาตามตำรานี้  คนไหนได้กินก็พออกพอใจอยากกินอีก   แต่กัญชากลายเป็นของต้องห้ามไปแล้วครับ  ทั้งหายาก  ทั้งแพง  และทั้งหาคุกใส่ตัวครับ

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 13

ร.ต.อ.เปี่ยม บุณยะโชติได้มาจากเจ้าน้อย ณ เชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2506 เจ้าของตำราเล่าว่า มีเพื่อนที่เครื่องสืบพันธุ์ตายแล้ว ใช้ยาฝรั่งฉีดก็ไม่ยอมลุกขึ้น กินยาสารพัดเป็นเวลาปีเศษๆ มันก็ยังนอนนิ่งทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็อายุเพียงสามสิบเศษๆ เท่านั้น มาวันหนึ่งเห็นพระธุดงค์กางกลดอยู่ริมป่าจึงนำข้าวปลาอาหารไปถวาย พระท่านเห็นสีหน้าหม่นหมองเหมือนมีทุกข์กังวลใจอะไรอยู่จึงสอบถาม ชายหนุ่มจึงเล่าความทุกข์ให้ฟัง ท่านฟังแล้วก็บอกว่าอย่าวิตกไปเลย อาตมามียาที่ช่วยเหลือคนแบบนี้มาหลายคนแล้ว ให้โยมเอาไปปรุงกินเถิด ตัวยามีดังนี้

ยานี้ชื่อเสาธงเหล็ก

1. หัวกระชายแก่

2. หญ้าปากควาย

3. ต้นขัดมอญทั้งห้า

 4. ข้าวเปลือก

สมุนไพรทุกตัวหนักเท่ากัน ให้เอายาเหล่านี้ใส่หม้อ ใส่น้ำให้ท่วมยา น้ำ 4 ส่วน ต้มเคี่ยวจนเหลือ 1 ส่วน ให้รับประทานติดต่อกันให้ได้ 3 หม้อ หรือมากกว่านี้ก็ได้ เรื่องวิตกทุกข์ร้อนก็จะคลายไปสิ้น เมื่อชายหนุ่มทำยานี้กินก็ได้ผลดุจท่านบอกจริงๆ

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 14

ชื่อยาลูกยอ เป็นตำรับยาที่หลวงพ่อโอภาษีได้มาจากพระครูนนท์ วัดใต้ปากพนังซึ่งมีอายุถึง 105 ปี เป็นผู้มอบให้ มีส่วนประกอบดังนี้

1. เถาบอระเพ็ด 6 บาท

2. หัวกระเทียม 3 บาท

3. พริกไทยล่อน 2 บาท

4. เหง้าขิงแห้ง 1 บาท

5. ยาดำ 3 บาท

6. ลูกยอหนักเท่ายาทั้งหมดรวมกัน

เอายาทั้งหมดตากแดดให้แห้ง แล้วบดเป็นผงรวมกัน ผสมกับน้ำผึ้ง กินก่อนอาหาร เช้า-เย็น ครั้งละ 2 เม็ดพุทรา หรือขนาดปลายนิ้วก้อย ผ่านไป 1 เดือนโรคภัยจะหายสิ้น ผิวพรรณวรรณะจะกลับดูเหมือนหนุ่มสาว

 ยาอายุวัฒนะขนานที่  15

1. อังคุณะ

2. พริกไทยล่อน

3. หัวกะทือ

4. ว่านเสมา

5. พิลังกาสา

6. โลลุ

7.คนทีสอ

8. โคกกระสุน

9. ว่านน้ำ

10.เกาะดูรุเพทะ

(มุนไพรชนิดที่ 6 และ 10 ผมไม่รู้จัก แต่ลงไว้เผื่อคนรู้จักจะได้ไปหามาทำยากิน)

ยาทั้งหมดนี้ให้บดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งรวงรับประทานหลังอาหารเย็น จะทำให้เจริญอาหาร นอนหลับดี แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ แก้ปวดเมื่อยอ่อนเพลีย กินได้ 2 เดือนร่างกายจะกลับเป็นหนุ่ม

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 16

1. เกสรบุญนาค หนัก 2 บาท

2. สมอพิเภก หนัก 3 บาท

3. สมอไทย หนัก 3 บาท

4. มะขามป้อม หนัก 3 บาท

5. ดอกดีปลี หนัก 3 บาท

6. ลูกเร่ว หนัก 4 บาท

7. ขิงแห้ง หนัก 3 บาท

8. ว่านน้ำ หนัก 3 บาท

9. ลูกราชดัด หนัก 2 บาท

คัดจากตำรายาไทยจีนของ ร.ศ.พัฒน์ สุจำนงค์ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งหมดบดผงผสมน้ำผึ้งรับประทานครั้งละลูกพุทรา รับประทานประจำแก้โรคกษัย โรคลม โรคในตัวทั้งปวง และทำให้กลับหนุ่มสาวเหมือนวัยรุ่น

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 17

1. พริกไทย 7 เม็ด

2. พริกขี้หนูแห้ง 7 เม็ด

3. ขิง 7 แว่น

4. ข่า 7 แว่น

5. ข้าวสาร 7 เม็ด

6. น้ำมันมะกอก 7 หยด

7. น้ำมันจันท์ 7 หยด

8. กล้วยน้ำว้าสุก 7 ลูก

เอามาตำให้แหลกจนเข้ากันดีแล้วผสมน้ำผึ้ง ให้ทำวันแรม 7 ค่ำ กินวันละ ลูกพุทรา กำลังดีมาก

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 18

เอารากกะทกรกมาต้มกิน เวลาไปขุดรากกะทกรกให้ไปขุดวันอังคาร พอถึง 3 อังคารแล้วให้ต้มกิน ระหว่างที่ต้มหม้อที่ 1 นั้นก็ไปขุดในวันอังคารอีก 3 อังคาร รวมเป็น 6 อังคาร พอถึงวันอังคารที่ 7 ให้ต้มกิน รวมเป็น 2 หม้อ ต้มกินต่างน้ำชาก็ได้ เวลาขุดรากกะทกรกนั้นไม่ว่าจะได้มากหรือน้อย ให้คอนกลับบ้านแล้วเอามาแขวนไว้จนครบ 3 อังคาร และ 7 อังคาร ยานี้ต้องทำของใครของมัน จะให้คนอื่นทำให้ไม่ได้

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 19

1. ขมิ้นอ้อย

2. ผักเสี้ยนผี

3.โคกกระสุน

4. หัวแห้วหมู

ตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง กินก่อนนอนวันละ 1 เม็ดพุทรา ทำให้เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 20 (บำรุงสายตา)

เอาหัวแห้วหมูมาล้างให้สะอาด แล้วคั่วไฟ แล้วทุบให้แตก นำมาชงดื่มแบบน้ำชา แก้ปวดเมื่อยอ่อนเพลีย ร่างกายแข็งแรง ตาสว่างดุจคนหนุ่ม ฟันทนแข็งแรง ร่างกายกลับเป็นหนุ่มสาว

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 21

1. กำลังวัวเถลิง หนัก 3 บาท

2. เปลือกตะโกนา หนัก 3 บาท

3. เปลือกทิ้งถ่อน 3 บาท

4. เขากวางอ่อน 3 บาท

5. แสมทะเล 3 บาท 6. เมล็ดข่อย 3 บาท

7. รากส้มกุ้งใหญ่ 2 บาท

8. รากส้มกุ้งน้อย 2 บาท

9. หัวบัวขม 2 บาท

10.ฝางเสน 2 บาท

เอาตัวยาทั้งหมดมาตำพอแหลก แล้วห่อผ้าขาวดองสุราไว้ 7 วัน กินวันละ 1 จอก หลังอาทิตย์ตกดิน

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 22

1. เมล็ดข่อย

2.หัวแห้วหมู

3. หัวกระชาย

4. พริกไทยล่อน

5. หัวบัวขม

6. ผักเสี้ยนผี

7. โคกกระสุน

8.เนื้อสมอทั้ง 3  อย่างละ 10

เอามาทุบดองสุรา กินก่อนอาหารเย็น กินประจำอายุยืนถึง 100 ปี แข็งแรงทำงานหนักได้ดุจคนหนุ่ม

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 23

ต้นกะเม็งทั้งห้า (ถอนขึ้นมาทั้งราก เอาทุกส่วน) เอามาสักหอบใหญ่ ๆ ล้างให้สะอาดแล้วสับเป็นชิ้น ๆ ตำหรือปั่นให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำให้ได้น้ำหนัก 6 ขีด เอาเกลือแกง 3 ขีด ตำให้แหลกแล้วผสมลงไป เอายาตั้งไฟเคี่ยวจนน้ำแห้ง ขูดเอาเกลือที่ผสมยานั้นแหละใส่กระปุกไว้ เกลือสะตุ (เอาเกลือใส่หม้อดินปิดฝาให้สนิทแล้วตั้งบนเตาถ่านประมาณ 30 นาที เกลือจะสุกจึงชื่อเกลือสะตุ)  ตำยาทั้งหมดให้แหลกเป็นผงแล้วผสมน้ำผึ้งปั้นเม็ด หรือดองสุราก็ได้ กินก่อนอาหารเช้า ขนาดปลายนิ้วก้อยจะมีพละกำลังดุจพญาราชสีห์

 ยาอายุวัฒนะขนานที่ 24 (ยาเปลี่ยนร่าง)

1. ลูกจันท์

2. ดอกจันท์

3. กระวาน

4.กานพลู

5. สมุลแว้ง

6. มหาหิงคุ์

7. ชะเอมเทศ

8. หัศคุณเทศ

9.พริกไทยล่อน

ให้ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้ง กินหลังอาหารค่ำ หรือก่อนนอน กิน 1 เดือนโรคภัยจะหายสิ้น กิน 3 เดือนจะแข็งแรง ผิวพรรณสวยงาม

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 25 (ยากำลังวิเศษ)

1. กำลังหนุมาน

2. กำลังวัวเถลิง

3. ขมิ้นอ้อย

4. เถาเอ็นอ่อน

5. เถาบอระเพ็ด

6. หญ้าเอ็นยืด

7. ฟ้าทะลาย

8. หัวกระชาย

9. เหง้าขิงแห้ง

10.พริกไทยล่อน

11. อำพันทอง

12.โสม

ทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้ง รับประทานครั้งละปลายนิ้วชี้หลังอาหารเช้าหรือเย็น



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 26  (ตำรายาเหงือกปลาหมอ)

ตำรายานี้ได้มาจากเมืองพิษณุโลก ท่านให้เป็นปริศนาว่า ถ้าใครคิดได้ให้ขุดลงไปจะได้ทอง 100 ตำลึง คนฉลาดแก้ปริศนาออกจึงไปขุดก็พบแผ่นศิลาปิดปากหลุมไว้อย่างมิดชิด เมื่อเปิดออกดูก็พบใบลานยาวประมาณ 1 คืบ เมื่อเอามาอ่านดูก็พบว่าเป็นตำรายาวิเศษ จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ มีใจความว่า

พระฤาษีแสดงไว้เป็นทานแก่สมณชีพราหมณาจารย์ และมนุษย์ทั่วไปทั้งหญิงและชายเพื่อจะให้บำบัดโรค ถ้าผู้ใดได้ตำรานี้แล้วขอให้บอกต่อ ๆ กันไป จะได้อานิสงส์กัลป์ ถ้าเอาตำรายานี้ไว้ไม่เชื่อถือแล้วจะต้องไปตกนรก ตำรายานี้ชื่อ ตำราต้นเหงือกปลาหมอ ถ้าเห็นต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงทาง หรืออยู่ในที่ใด ๆ ก็ดี อย่าเหยียบย่ำข้ามเลย ต้นเหงือกปลาหมอนี้มีคุณวิเศษมากมายหลายอย่างคือ

ถ้าเจ็บตา ตานั้นแดง ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำกับหัวขิง เอาหยอดตาหายแล

ถ้าเป็นเหน็บชา เท้า มือ หรือทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำทาที่เจ็บนั้นหาย

ถ้างูกัด ให้เอาเหงือกปลาหมอทั้งห้ามาตำทั้งกินทั้งทา หายแล

ถ้าเป็นฝีบวมขึ้นมา ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อยมารวมกันตำทา หายแล

ถ้าเป็นริดสีดวงงอก ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อยตำปนกับน้ำมันหรือน้ำมูตรทา หายแล

ถ้าเป็นไข้หนาวสั่นไปทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขิงตำปนกันแล้วกิน หายแล

ถ้าเป็นหูหนาตาโต ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเอาน้ำกิน แล้วเอาใบส้มป่อยต้มน้ำอาบ หายแล

ถ้าเป็นมะเร็งแตกทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอ พริกไทย ดีปลี สิ่งละเท่ากัน ตำเป็นผงกินกับน้ำร้อน หายแล

ถ้าเป็นผื่นแดงคันขึ้นมาเกาจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือที่เรียกว่าเป็นหูหนาตาโต ให้เอาเหงือกปลาหมอมาต้มกิน เอามาต้มกับใบส้มป่อยอาบด้วย หายแล

ถ้าเป็นมะเร็ง ทำให้ลงจนตัวเหลือง ให้เอาเหงือกปลาหมอ กระชาย มะคำไก่ และสมอทั้งสาม ต้มกิน หายแล

ถ้าหญิงมีระดูขาด หรือโลหิตแห้งแต่ 1 เดือนถึง 3 เดือนก็ดี ให้เจ็บผอมเหลืองทั่วสรรพางค์กาย ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเป็นผงละลายน้ำมันงาหรือน้ำผึ้งกินทุกวันไป โรคนั้นหายแล

ถ้าเจ็บหลัง เจ็บบั้นเอว ให้เอาเหงือกปลาหมอกับชะเอมเทศตำเป็นผงละลายน้ำกินทุกวัน หายแล

ถ้าเป็นโรคริดสีดวงแห้ง หรือเป็นฝีในท้อง และซูบผอมไปทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำเป็นผง ละลายน้ำกินทุกวัน หายแล

ถ้าเป็นโรคริดสีดวง มือเท้าตาย ให้ร้อนไปทั้งตัว เวียนศีรษะ ตามืดมัว เจ็บทั่วตัว แลผิวตัวให้สากแห้ง อันชื่อว่าลมเพชฆาต 38 จำพวก ให้เอาเหงือกปลาหมอกับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ เอาฟืน 30 ดุ้นต้ม ถ้าเดือดแล้วให้อึดใจยกลง เมื่อจะกินให้อึดใจกิน หายแล

ถ้าเจ็บตามตัว เมื่อยทั่วสรรพางค์กาย ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเอาแต่น้ำกิน

ถ้าช้างแทง กระบือชน หรือตกจากที่สูง หรือต้องคมอาวุธ ให้เอาเหงือกปลาหมอตำที่แผล หายแล

ถ้าจะให้เจริญอายุ ท่านให้เอาเหงือกปลาหมอ 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ตำผงละลายน้ำผึ้งรับประทานทุกวัน

รับประทาน 1 เดือนจะหมดโรค จะมีสติปัญญาดี รับประทาน 2 เดือนจะเป็นที่เมตตาแก่คนทั้งหลาย

รับประทาน 3 เดือน ริดสีดวง 12 จำพวกหาย รับประทาน 4 เดือน ลม 12 จำพวกไม่มีเลย ตาแดงดังตาครุฑ หูได้ยินดังราชสีห์ รับประทาน 5 เดือน โรคภายในจะหมดสิ้น

รับประทาน 6 เดือน จะเดินได้วันละพันโยชน์ ไม่เหนื่อยเลย รับประทาน 7 เดือน ผิวจะผุดผ่องสวยงามดี

รับประทาน 8 เดือน เสียงเหมือนนกการะเวก รับประทาน 9 เดือน คมหอกดาบแทงไม่เข้าเลย

ต้นเหงือกปลาหมอนี้มีคุณค่าหนักหนา เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ก็ว่าได้ ถ้ากินอาหารหรือสิ่งใดผิดสำแดงเข้าไปจะไม่มีโทษเลย

ถ้าเป็นฝีที่รักแร้และที่ลำคอก็ดี ให้เอาเหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย น้ำมันงา น้ำมูตร ตำเคล้าเข้าด้วยกันแล้วเคี่ยวเป็นน้ำมันทา หายแล

ถ้าเป็นลมจับ ให้เอาเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน พริกไทย 2 ส่วน ตำผงละลายน้ำร้อนรับประทาน แก้ลม 8 จำพวกหาย

ถ้าจะประสานเนื้อให้สนิท ให้เอาเหงือกปลาหมอกับหัวสามสิบเท่ากัน ตำเอาน้ำประสานแผลทาหายสนิท

ถ้าตามืดมัว ให้เอาเหงือกปลาหมอ กะเพราทั้ง 2 แสมสาร ใบทองหลางใบมน บอระเพ็ด เจตมูลเพลิง สิ่งละเท่ากันตำปิดกระหม่อม แล้วเอาเหล็กเผาไฟให้ร้อน เอามาวางทับเหนือยานั้น หายแล

จบตำราเพียงนี้

ตำรานี้เขียนโดยผู้คงแก่เรียนชาวพิษณุโลก ผ่านมาหลายร้อยปีมาแล้ว คงเขียนช่วงที่บ้านเมืองสงบสุข ช่วงสุโขทัยเป็นราชธานี การที่ท่านไม่ได้บรรยายลักษณะต้นยานั้นเพราะเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขารู้จักกันอยู่แล้ว และมีทั่ว ๆ ไป ในท้องถิ่นนั้น แต่ต้นเหงือกปลาหมอที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เป็นพันธุ์ไม้ริมทะเล ชอบดินเค็ม ชอบขึ้นตามริมน้ำคูคลองที่ชื้นแฉะ ก็เมืองพิษณุโลกนั้นอยู่ห่างทะเลหลายร้อยกิโลเมตร ในสมัยโบราณการคมนาคมไม่สะดวกนั้นเหงือกปลาหมอที่ว่านี้จะมีอยู่ที่เมืองพิษณุโลกได้อย่างไร ถ้าจะมีก็คงนับต้นได้ มีเพียงหมอยาเอาไปปลูกไว้เท่านั้น แต่หมอยาไทยโบราณไม่มีนิสัยปลูกยา เพราะของในป่ามีมากแล้ว

มีข้อให้สังเกตหลายอย่าง ตำราโบราณท่านว่า ถ้าเห็นต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงทางหรืออยู่ที่ใด ๆ อย่าเหยียบย่ำข้ามเลย ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นเหงือกปลาหมอที่ใบแหลมคมเหมือนหนาม แถมต้นสูงท่วมหัวเป็นพุ่มเป็นกอ และชอบขึ้นตามริมน้ำริมคลอง ใครจะไปเหยียบย่ำข้ามมันได้ ถ้าเป็นไม้ดังว่านี้ตำราต้องเขียนว่า หากพบต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงที่ใด ๆ อย่าได้ฟันทิ้งเพราะรังเกียจหนามแหลมคมของมันเลย มากกว่า

ท่านอ่านพบใช่ไหมครับ ตำราว่าเอาเหงือกปลาหมอมาตำ บางข้อก็บอกว่าให้เอาเหงือกปลาหมอทั้งห้ามาตำ ถ้าเป็นเหงือกปลาหมอที่รู้จักกันดีทุกวันนี้มันตำได้ที่ไหน ต้นก็แข็ง ใบก็แข็ง แถมปลายใบเป็นหนามแข็งแหลมจนทิ่มมือได้เลือด มันมีลู่ทางสำหรับคนโบราณทางเดียวคือสับเป็นชิ้นๆ แล้วต้มน้ำกินเท่านั้น

จึงเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่เหงือกปลาหมอที่หลงใช้กันทุกวันนี้ แต่เป็นพืชหญ้าชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามที่ราบ แผ่ไปบนดิน ชอบขึ้นตามที่โล่งเตียน เช่นในนา สนามหญ้า ข้างทางเดิน ซึ่งผู้คนสามารถเดินข้ามเหยียบย่ำได้ง่ายดาย พืชนี้มีใบเหมือนเหงือกปลาหมอจริง ๆ ใหญ่เล็กก็เท่าเหงือกปลาหมอ ใบอวบแข็งนิดๆ แต่อวบน้ำแข็งน้ำ ไม่ตำมือให้เจ็บ ชอบขึ้นตามที่ลุ่มชื้นแฉะ แต่ถึงไม่มีน้ำชื้นแฉะก็ขึ้นได้งอกงาม มักพบในนาหลังช่วงเก็บเกี่ยวประมาณ 2 เดือนขึ้นไป ถ้าไม่มีใครรบกวนมันจะแผ่ออกไปเป็นพื้นพรมทีเดียว แต่สวยๆ แบบที่ว่านี้ค่อนข้างหายาก ผมไปมาทั่วประเทศพบอยู่ที่เดียวที่สวยเช่นนี้ แต่มันก็มีอยู่ทั่วประเทศ แต่พบที่นั่นนิดที่นี่หน่อย จะเก็บมาทำยาทีละมากๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน

ผมรู้จักต้นยานี้เพราะพระอาจารย์อุดม ซึ่งเชี่ยวชาญในสมุนไพรเป็นผู้พาไปรู้จักต้น และอธิบายถึงความผิดพลาดของต้นยาที่ใช้กันอยู่ให้ฟัง ท่านว่าเคยใช้แบบนี้ได้สรรพคุณตรงตำราโบราณกล่าวไว้ทุกประการ เมื่อผมมาค้นในตำราก็เห็นอย่างที่ท่านกล่าวไว้จริงๆ จึงขอฝากต้นยานี้ให้ท่านผู้อ่านไปหามาทำยาเถิด บางแห่งเรียกว่า หญ้าเกล็ดหอย  บางแห่งเรียกเหงือกปลาหมอนา

27.     ตำรายาหัวกวาวเครือ

     ตำราเล่มนี้ ต้นฉบับเดิมเป็นของนายเปลี่ยน กิติศรี  เป็นผู้ค้นคว้าและเรียบเรียงเป็นภาษาไทย   แต่คนพิมพ์เผยแพร่คนแรกคือหลวงอนุสารสุนทร คหบดีชาวเชียงใหม่  เมื่อผมนำเนื้อหาเหล่านี้ลงหนังสือแต่ละครั้งที่ผ่านมาก็อ้างว่าของหลวงอนุสารสุนทร  จึงมีคนเอาไปพิมพ์ต่อและอ้างที่มาเดียวกัน  ความจริงแล้วผมควรอ้างที่มาว่าฉบับนายเปลี่ยน กิติศรี จึงถูกต้อง

      ผมเคยนำเรื่องยาหัวกวาวเครือลงนิตยสารมาหลายฉบับและหลายครั้ง คือ โลกทิพย์  โลกลี้ลับ  ฤทธิ์อำนาจ  ชีวิตต้องสู้  ทีวีพูล และ เครือข่ายดาราภาพยนต์   ในช่วงปี 2537 – 2543  แต่ที่เคยนำลงนั้นเป็นฉบับย่อซึ่งได้มาจาก พอ.ชม สุคันธรัตน์  ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์และสมุนไพรไทย  หาใช่ต้นฉบับจริงไม่  ฉบับนี้จึงเป็นของจริง ได้นำมาลงทุกข้อความ  เพื่อรักษาไว้ซึ่งอรรถรสของตำราเดิม เพื่อเทอดทูนผู้ค้นคว้าและเรียบเรียง

     ผมได้ตำราฉบับนี้มาจากคุณวัชรพงษ์และคุณธัญลักษณ์  เจ้าของห้างขาวละออเภสัช   ท่านได้มาจากหลานสาวของคุณหลวงอนุสารสุนทรชื่อคุณยายแจ่มจิตต์ เลาหวัฒน์  ซึ่งมีอายุกว่าแปดสิบปีแล้ว  ขอขอบพระคุณคุณวัชรพงษ์และภรรยา รวมทั้งคุณยายแจ่มจิตต์      ซึ่งเป็นเจ้าของด้วย   ทำให้ผู้อ่านได้มีโชคร่วมไปกับกระผมด้วย

      ผมแสวงหาตำราเล่มนี้อยู่หลายปี  ทราบว่าคงเหลือเพียง 2 เล่มเท่านั้น    อยู่ที่คุณยายท่านนี้เล่มหนึ่ง   และอีกเล่มหนึ่งอยู่กับอาจารย์ยุทธนา สมิตะศิริ  อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย  เพราะเคยพบหน้าปกหนังสือที่ท่านนำมาแสดงในงานสมุนไพรแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อกลางปี 2540

     ตำราเล่มนี้มีคุณค่ามหาศาลทีเดียว  อยากนำมาเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้อ่านกันมาก ๆ เพราะคนส่วนมากยังได้รับข้อมูลกวาวเครือไม่เพียงพอ     ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวที่จะกินยาหัวกวาวเครือ ซึ่งเป็นสมุนไพรวิเศษของเรา  กลัวไปตามข่าวลือว่าจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งดุจที่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคได้โฆษณาไว้ตามสื่อต่าง ๆ

     กระผมในฐานะที่เป็นต้นเผยแพร่กวาวเครือมาก่อนในสมัยนี้   และเป็นผู้มีประสพการณ์ในการกินการใช้กวาวเครือมาด้วยตัวเองและญาติมิตร  รู้แจ้งมาตลอดว่ากวาวเครือเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่า ยากที่จะหาสมุนไพรใด ๆ มาเปรียบได้   จึงขอเสนอตำรายาหัวกวาวเครือให้ท่านได้ศึกษาให้รู้แจ้งชัดดังนี้

35



ตำรายาหัวกวาวเครือ

      ในเวลานี้  มหาชนทั้งปวงทั่วประเทศพม่า ทุกรูปทุกนาม  ได้พากันนิยมนับถือยังยาขนานหนึ่ง   ซึ่งภาษาพม่าเรียกว่า”เปาก์เซ” หมายความว่ายาหัวกวาวเครือ      ในยาขนานนี้เรียกชื่อว่ายาอายุวัฒนะ  เป็นยาที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ จนหญิงชายที่แก่ชราแล้ว ถ้าได้รับประทานยานี้  ภาพที่แก่ชรานั้น  จะกลับกลายเป็นภาพหนุ่มสาวคืน     จะกระทำให้ลูกหลานเห็นประหลาดตาไปได้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของยา    คือยานี้มีมูลเหตุเกิดขึ้นในประเทศพม่า นั้นคือมีพระมหาเจดีย์แห่งหนึ่งเป็นที่ปูชนียสถานของชนชาวพม่า ได้ถูกฟ้าฝนลมพายุพัดหักพังลง เป็นเหตุให้ตำรายาที่ชนชาวโบราณได้เขียนจารึกลงในใบลานแลบรรจุไว้ในพระเจดีย์นั้นปรากฎขึ้นให้มหาชนทั้งหลายได้รู้เห็น ให้ได้ใช้ยานี้

     จะกล่าวถึงลักษณะของต้นยานี้ และจะชี้แจงวิธีปรุงแลวิธีรับประทาน  กันมิให้ไปเอาต้นยาผิด และกันมิให้รับประทานยาเกินขีด เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต     เพราะยาขนานนี้เป็นยาที่มีฤทธิ์แรงเกินไป  เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้คิดแปลจากตำราเดิมของพม่ามาเรียบเรียงเป็นสมุดตำรายา”เปาก์เซ”เล่มนี้ ออกแจกจ่ายให้มหาชนทั้งปวงผู้ฝักใฝ่ใจในตำรายานี้ จะได้เอาใจใส่ใช้ต้นยาให้ถูกต้องตามตำรา ให้ได้หัวยาที่แท้จริง และวิธีกินก็จะได้เอาใจใส่ให้ถูกต้องตามตำรา

     ข้อสำคัญที่สุด  ขอให้รู้จักต้นยาและลักษณะ เถา ใบ หัว ของต้นยาเสียก่อนจึงค่อยใช้ยานี้   ตำรานั้นหาได้ง่าย แต่ที่จะรู้จักลักษณะของต้นยานั้นยาก

มูลเหตุตำรายาที่ได้ปรากฏขึ้น

       คือราชธานีเก่าเมืองพุกามของประเทศพม่านั้น ยังมีพระมหาเจดีย์องค์หนึ่งล้มหักพังลง       พระภิกษุทั้งหลายได้พบเห็นตำรายาซึ่งจารึกลงในใบลานประจุไว้ในเจดีย์นั้น มีใจความดังนี้

     ให้เอาหัวกวาวเครือใบใหญ่ตำผงกินกับน้ำนมวัว จะมีหัวคิดสมองโปร่งทรงจำโหราศาสตร์ 3 คัมภีร์ได้  เนื้อหนังจะนิ่มนวลเสมอเด็กอายุ 6 ปี อายุจะยืนถึงพันกว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย

รับประทานกับน้ำข้าวเช็ดที่รินทิ้งไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา

รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง อายุจะยืน จะท่องโหราศาสตร์ 3 คัมภีร์ได้ตลอด จะรับรองมาตุคามได้ตลอดถึงพันคน

รับประทานกับน้ำนมเปรี้ยว อายุจะยืน ผมจะไม่ขาว ฟันจะไม่หลุด เนื้อหนังจะไม่ย่น

รับประทานกับมะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก จักษุที่มัวหรือมีฝ้าที่แลไม่เห็นนั้นจะเห็นคืน

เอาแช่นมควายทาผม ผมจะงอกขึ้นแรง ผมที่ขาวนั้นจะกลับกลายเป็นผมดำไปทาด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย

แช่นมแพะทา  คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีคืนได้

    ยานี้ เมื่อรับประทานก็รับประทานได้มื้อละเม็ดมะกล่ำ  ห้ามมิให้รับประทานมากกว่าเม็ดมะกล่ำ  ให้รับประทานก่อนเข้านอนทุก ๆ วัน    เมื่อรับประทานยานี้ได้    3-4 วัน      จะปวดครั่นตามเนื้อตัว สะเอว ที่ข้อต่อทุก ๆ แห่ง เมื่อปวดเช่นนี้แล้วให้อาบน้ำเย็นเสียคงหายปวด

     คุณประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อรับประทานยานี้  นอนกลางคืนจะหลับสนิทดี  จะรับประทานอาหารมีรสชาติอร่อยดี    การที่จะปวดครั่นดังที่กล่าวมาแล้วนั้นอย่าได้มีความวิตกเลย     จะกระทำให้เราหายจากโรคาพยาธิ  ถึงแม้ปวดครั่นก็อย่าได้งด  ให้กินยาวันละเม็ดเสมอไป

     อีกนัยหนึ่ง    ต้องการจะรับประทานกับน้ำนมโค ให้เอานมโคสด 1 ขวดปั่นผสมกับยาพอจะปั้นเป็นลูกได้ ให้ปั้นเท่าลูกพุทราอ่อน ตากแดดให้แห้ง  รับประทานก่อนเข้านอนวันละ 1 เม็ด ทุก ๆ วัน  ถ้าต้องการรับประทานกับน้ำนมแพะก็ทำเช่นเดียวกัน  ถ้าต้องการรับประทานกับน้ำนมควายให้ต้มนมควายให้สุก  ผสมกับยา รับประทานเท่ากับเม็ดมะกล่ำใหญ่

     บุคคลที่จำเริญยานี้จะต้องได้รับศีล 5  อย่าให้ศีลของตนมัวหมอง  ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วจึงค่อยรับประทานยานี้

จบบันทึกใบลานเพียงเท่านี้





ตำรายามหาอตุละอายุวัฒนะ

     ตามตำราที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น  ยังมีพระภิกษุองค์หนึ่งอายุได้ 180 ปี     เป็นศิษย์ของพระภิกษุที่มีอายุ 280 ปี     ถ้าจะดูลักษณะรูปพรรณของท่านก็คล้ายคลึงกับลักษณะของบุคคลที่มีอายุ 30-40 ปี        ท่านองค์นี้ได้เดินเข้าไปในอุโบสถ ในวัดดะรินไจ๊ย์ก่อยว่า ในอำเภอตุนเต จังหวัดอินเส่ง ประเทศพม่า  วันที่พระสงฆ์ทั้งหลายกำลังแสดงปาฏิโมกข์กันอยู่นั้น  ท่านได้เข้าไปในที่ประชุมหาได้กราบไหว้พระสงฆ์ที่มีรูปพรรณสีสันแก่ชราภาพในที่นั้นไม่

     ในเวลานั้นสงฆ์ทั้งหลายได้ตริตรองดูว่า พระรูปนี้รูปพรรณสีสันก็ยังอ่อน เป็นด้วยเหตุประการใดจึงมิได้กราบไหว้พระสงฆ์ที่แก่ชราทั้งหลายหนอ  จึงได้ไต่ถาม  ท่านจึงตอบว่า อายุของเราได้ 180 ปีแล้ว  ส่วนครูของเราอายุได้ 280 ปี

     พอทราบดังนั้นจึงได้สอบถามท่านว่า เป็นด้วยเหตุใดจึงมีรูปพรรณสีสันยังอ่อนนิ่มนวลคล้ายคลึงกับคนอายุ 30-40 เท่านั้น  ท่านได้บริโภคยาศักดิ์สิทธิ์อะไรโรคาพยาธิจึงมิได้มาเบียดเบียนท่าน มีอายุมั่นขวัญยืนมาถึงปูนนี้

     ท่านจึงตอบว่า เราได้เอาหัวกวาวเครือมาทำเป็นยาฉันจำเริญ จึงปลอดจากโรคาพยาธิ ไม่ได้มาเบียดเบียนร่างกายของเรา  กับกระทำให้เรามีเนื้อหนังสมบูรณ์ และไม่ให้ภาพของเราได้แก่เฒ่าตลอดมา

     ครั้นแล้วท่านได้บอกกล่าววิธีปรุงยา วิธีเสกมนต์ยา กับวิธีรับประทานยา แล้วก็ชี้แจงลักษณะของ เถา ใบ หัว ของต้นยา  เพื่อให้ชนทั้งหลายหาต้นยาที่ถูกต้องมารับประทาน ให้ได้รับคุณประโยชน์ของผู้ที่จะไปหามา

      กวาวเครือชนิดขาว เมื่อขุดลงไปต้นหนึ่งอาจมีหัวถึง 3-4 หัว ขนาดของหัวใหญ่ประมาณเท่าผลมะพร้าวลูกโต ๆ  น้ำหนักหัวจะมีราว 5-6 ปั่น  หัวของยานั้นจะเปราะ เนื้อในหัวมีเส้นมาก  เมื่อเอาแล้วเอามีดปอกเปลือกนอกทิ้ง หั่นบาง ๆ ตากแดด ตำผงกรอง  ถ้าหัวโตจะได้น้ำหนักผงยาราว 35-40 บาท ถ้าหัวเล็กจะผ่อนลงไปบ้าง หัวยาเหล่านี้ถ้าคนเราไม่ขุดจะทิ้งไว้ในดินตามลำพังของมันจะไม่แห้งไม่ยุ่ยไม่เปื่อยเน่าเลย

     วิธีรับประทาน เอาผงยานี้ผสมกับน้ำนมวัวนมควาย   ปั้นเป็นลูกเท่าลูกพุทราอ่อนตากแดด หรือจะประสมน้ำมันเนย น้ำผึ้ง น้ำตาลแดง น้ำอ้อย น้ำตาลทราย น้ำนมแพะ นมควาย นมโค  ประสมกันทีเดียว  ปั้นเป็นลูกดังที่กล่าวมาแล้ว   ตากแดดให้แห้ง เก็บใส่ภาชนะ แล้วให้เอาดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะบูชาไปถวายพระพุทธรูป  แล้วเอายาที่ใส่ในภาชนะนั้นวางลงต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วเสกด้วยมนต์คาถาดังที่จะเขียนต่อไปข้างหน้านี้ บทละ 37 หน ถ้าจะเสกมนต์ให้มากกว่านี้ยิ่งดี

     ๑. โอม สักกัตวา พุทธะรัตนัง  โอสถัง อุตตะมังวรัง  หิตังเทวะมนุสสานัง พุทธะเตเชนะ

โสตถินา  นัสสันตุปัทวา สัพเพโรคา วูปะสะเมนตุเม

       ๒. โอม สักกัตวา พุทธะรัตนัง โอสถัง อุตตะมังวรัง ปริฬาหูวูปสะมัง ธัมมะเตเชนะโสตถินา  นัสสันตุปัทวา  สัพเพทุกขา วูปสะเมนตุเม

       ๓.  โอม  สักกัตวา พุทธะรัตนัง โอสถัง อุตตะมังวรัง อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ

โสตถินา  นัสสันตุปัทวา สัพเพภยา วูปสะเมนตุเม

( ถ้าจะเสกมนต์ให้คนอื่นรับประทาน ต้องเปลี่ยน เม เป็น เต )

       ๔. โอม อิติปิ ปิฏกัตตะยัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัตตะโพชชังโค อริโย อัฏฐังคิโก มัคโค

จตุสติปัฏฐานัง สัพพัสสะอินโท สหัสสะโก สหัสสะสุริโย สหัสสะจันโท โอม นะโม เมตตานัง

ราชภะยัง อัคคิภะยัง โจรภะยัง อุทธกภะยัง สัตตะภะยัง  เชยโย เชยยะตุมังคะลัง  อนิจจะสังขาตัง ปฏิจจะสมุปปาทัง ขยะธัมมัง วยะธัมมัง วิราคะธัมมัง นิโรธธัมมัง ขมะติ.

     ให้เอาคาถานี้เสกยากิน   เมื่อจะรับประทาน ให้ลงตัวพยัญชนะที่เม็ดยานั้นทุกเม็ด ให้เรียงตัวพยัญชนะไทยเหนือตั้งแต่ตัว กะ  จนถึงตัว อัง   เวลาจะเขียนลงนั้นให้เสกมนต์ดินสอหรือเหล็กจาน หรือไม้แหลมที่จะใช้เขียนนั้น ตามคาถาดังต่อไปนี้

     กะ  กาโรพุทธะรูปัง          กะ  การัง กุสะลัง ตัสสะ นโมพุทธายะ

    ขะ  กาโรพุทธะรูปัง          ขะ  การัง กุสะลัง ตัสสะ นโมพุทธายะ

    คะ  กาโรพุทธะรูปัง          คะ  การัง กุสะลัง ตัสสะ นโมพุทธายะ

เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตามตัวพยัญชนะไทยเหนือทุกตัวจนถึงตัว อัง

    อัง  กาโรพุทธะรูปัง          อัง  การัง กุสะลัง ตัสสะ นโมพุทธายะ

แล้วเอาลูกยาที่ลงพยัญชนะแล้วนั้นรับประทานตั้งแต่อักษร กะ จนถึงอักษร อัง  3 หน หรือ 9 หน หรือ 108 หนยิ่งดี

     หัวกวาวเครือชนิดแดงศักดิ์สิทธิ์กว่าชนิดขาว  ชนิดดำยิ่งศักดิ์สิทธิ์กว่าชนิดแดง    ชนิดดำนั้นหัวไม่สู้ใหญ่เท่ากับชนิดแดงแลชนิดขาว  ขนาดหัวใหญ่เท่าประมาณหัวมันอ้อนหรือมันเทศเท่านั้น  ชนิดหัวขาวนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง  ถ้าจะไปเอาคงไม่ยาก  ชนิดดำกับชนิดแดงนั้นค่อนข้างหายากสักหน่อย  ฝ่ายเมืองพม่าไปหาทางปะคกกู่ซีควิน  ได้ทราบว่าเจ้าอธิการวัดโท่งยว่าเคยเอามาฉัน

     จะกล่าวถึงคุณประโยชน์  ผู้ที่เคยรับประทานยานี้ ผลที่จะได้รับดังต่อไปนี้  จะบำรุงโลหิตบำรุงสมอง กระทำให้สมองโปร่ง  และจะคิดการอันใดได้ตลอด ออกหัวคิดได้ดี กระทำให้มีกำลังวังชาแข็งแรงดุจกำลังราชสีห์

     ชายหญิงที่ถึงสภาวะแก่ชราแล้ว เมื่อได้รับประทานยานี้จะกลับมีเนื้อหนังมังสาเต็มบริบูรณ์  จะทำให้หนังที่เหี่ยวย่นอยู่นั้นกลับกลายเต่งตึงขึ้นมาคล้ายอายุ 34-35 ปี  ถ้าเป็นหญิงจะกลับมีระดูตามสภาพผู้หญิงอีก จะมีเนื้อหนังนุ่มนิ่มคืนมา ถ้าชายชรารับประทานยานี้จะทำให้เนื้อหนังที่เหี่ยวย่นอยู่นั้นกลับเคร่งตึง และนิ่มนวลเท่ากับบุรุษอายุ 20 ปี จะมีกล้ามเนื้อออกมาเช่นเด็กหนุ่มสาวอายุ 13-14 ปี  ถ้าผู้หญิงที่อายุมากก็จะกลับมีไตนมแข็งขึ้น และมีระดูตามธรรมชาติหญิง

     ผมที่งอกขาวนั้นให้เอาผงยาแช่น้ำนมควายทา ไม่ช้าจะกลับกลายเป็นผมดำคืน  ถ้าผมร่วงแลห่างนั้นให้เอาผงยาแช่น้ำมันงาทา ไม่นานก็จะงอกจนแน่น       จักษุที่เป็นฝ้าเป็นต้อกระจกแลมืดมัวที่ได้เข้าแว่นแล้วนั้น ให้เอาผงยาหนัก 2 มะก่ำ   เอานมแพะ 2 บาทกึ่งประสมกันกินเช้า-เย็น ให้อาบน้ำวันละ 3 เวลา ไม่ช้าตาคงดีขึ้น

ผู้ที่จำเริญรับประทานยานี้ตลอดนั้นจะป้องกันโรคภัยต่าง ๆ เช่นเป็นท้องขึ้นอืดเฟ้อ โรคลมขึ้นเบื้องสูง ริดสีดวงลงเลือด ริดสีดวงท้องเสีย ผู้หญิงที่ผอมแห้งแรงน้อย   สมุฏฐานของวัณโรค   ไอเป็นโลหิต  พยาธิ 96 จำพวก  จะไม่มาเบียดเบียนเลย  จะมีกำลังวังชาเคลื่อนไหวเนื้อตัวแคล่วคล่อง เดินทางไม่รู้เหนื่อย อายุกว่า 100 ปี

     ผู้ที่ตาเสียด้วยฝ้าปิดแต่แก้วตายังไม่เสียนั้น แลตามืดตามัวตาแฉะ ทำให้น้ำตาไหลไม่รู้ขาด หรือตาเป็นต้อกระจกปิดอยู่ในลูกตาดำหรือปิดที่ตาขาว ให้เอาผลมะขามป้อมแห้ง สมอแห้ง(มะนะ)สมอพิเภกแห้ง(มะแหน) รวม 3 อย่างตำผงกรองชั่งหนักเท่ากับผงยาหัวกวาวเครือ ผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกเท่าผลมะขามป้อมแห้ง  เสกมนต์ด้วยคาถาดังที่กล่าวมาแล้ว รับประทานเช้า 1 ลูก เย็น 1 ลูก ทุกวันอย่าให้ขาด ไม่ช้าไม่นานตาคงเห็นดีตามปกติ

   วิธีรับประทานให้อายุมั่นขวัญยืน 1,000 กว่าปี ให้รับประทานดังจะกล่าวต่อไปนี้

     ผงยาหัวกวาวเครือกับ  น้ำมันเนย  น้ำผึ้ง  น้ำตาลแดง  น้ำอ้อยแกว่ง  น้ำนมเปรี้ยว  น้ำข้าวที่รินทิ้งไว้ให้เปรี้ยวเอาน้ำใสข้างบน  น้ำนมควาย   น้ำนมโค  น้ำนมแพะ  เนยสด  มะขามป้อมแห้ง  สมอแห้ง(มะนะ)  สมอพิเภกแห้ง(มะแหน) น้ำอ้อย

     รวมกระสายยาทั้ง 14 ชนิด  เอาอย่างหนึ่ง ๆ ประสมกับยาหัวกวาวเครือให้หนักเท่ากัน แล้วปั้นเป็นลูกเท่าผลมะขามป้อมตากแห้ง จะเป็นยา 14 ชนิด    แล้วให้เสกด้วยคาถาดังที่กล่าวมาแล้วนั้น รับประทานเช้า 1 ลูก เย็น 1 ลูก อย่างละ 7 วัน  ให้ตั้งต้นรับประทานกับที่ประสมกับน้ำมันเนยก่อน ครบ 7 วันแล้วให้รับประทานที่ประสมกับน้ำผึ้ง  ครบ 7 วัน   ก็เปลี่ยนไปรับประทานที่ประสมกับน้ำตาลแดง  ให้รับประทานเรียงกันไปเช่นนี้ จนถึงที่ประสมกับน้ำอ้อย แล้วกลับมาตั้งต้นที่รับประทานกับที่ประสมกับเนยอีก  เวียนไปมาอย่างนี้ตลอดไป

     เมื่อจะรับประทานเช่นนี้นั้นให้ถือศีล 5 ให้เคร่งคัด   แล้วให้จัดการทำบุญกุศลเช่นปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม หรือกุฏิวิหาร โบสถ์ ศาลา สะพาน บ่อน้ำ ที่เก่าเสียหายชำรุด     การที่ทำเช่นนี้มิใช่จะทำให้ครบทุกสิ่งทุกอย่าง  สุดแต่กำลังทำได้มากน้อยไม่มีขีดจำกัด

เมื่อรับประทานยานี้ ห้ามมิให้กินของที่เปรี้ยวเค็มเกินไป ห้ามมิให้อยู่ตากอากาศเย็นเกินไป  ตามที่เห็นตำรับตำราของแพทย์ครั้งโบราณได้ขีดเขียนไว้ว่าต้องรับประทานตามวิธีนี้จึงจะเรียกว่าตรงตามวิธีของพระพุทธเจ้า  อายุจึงจะยืนถึง 1000 กว่าปีได้

     สำหรับยาขนานนี้ มิใช่ว่าจะให้คุณประโยชน์เท่าที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น  ถ้าจะขยายคุณให้กว้างเกรงว่าจะยืดยาวจนเกินที่  ขอให้ท่านทั้งหลายจงมั่นใจอุตส่าห์กระทำดังที่กล่าวมาแล้ว รับประทานอย่าให้ขาด  ภายหลังรับประทานยานี้ต่อไปสัก 5-6 เดือน ร่างกายของท่านจะกลับกลายเป็นหนุ่มสาว  มีสีสรรวรรณะเปลี่ยนแปลงไปเป็นแน่แท้

     เมื่อรับประทานยานี้  ลมจะเดินดี  เบาจะคล่องดี เคลื่อนไหวเนื้อตัวไปมาได้คล่อง  ท้องจะผูกสักเล็กน้อย จะรับประทานอาหารใดก็มีรสชาดดี  จะนอนหลับสนิทดี จะไม่มีโรคปวดครั่นเนื้อตัวแลอ่อนเพลีย  ไม่รู้สึกปวดแข้งขาเลย

     ข้อสำคัญจงทราบไว้  เมื่อแรกลงมือรับประทานยานี้ ยาจะลงไปฟอกฟัดกับโรคภัยเก่าที่ประจำอยู่ในร่างกายของเรา จะรู้สึกเจ็บปวดกำเริบขึ้นมา  แต่ไม่ควรวิตก ให้รับประทานยานี้ต่อไปอย่าให้ขาดสักวัน  ให้อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง โรคเก่าที่กำเริบจักหายไป

     ชนิดหัวแดงกับชนิดหัวดำนั้น ชนทั้งหลายที่ได้รับประทานกล่าวว่าศักดิ์สิทธิ์กว่ายาอื่น ๆ  สงฆ์ที่ได้สร้างยานี้จำเริญกิน ได้อาศัยซึ่งฤทธิ์ของยาจึงกระทำให้ท่านได้อุตส่าห์ร่ำเรียนปริยัติธรรม แลปฏิบัติในศีลของท่าน 227 ได้  ท่านปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บจนอายุของท่านได้ 180 ปี ตามที่ท่านได้เทศน์ไว้เช่นนี้  จึงได้ขีดเขียนถ้อยคำของท่านออกโฆษณาแจกจ่ายให้มหาชนทั้งปวงได้ทราบไว้  ให้มีคุณประโยชน์ต่อไปเทอญ .

     ข้อสำคัญที่สุด ควรรู้จักต้นยาเสียก่อนที่จะรู้จักตำรายา  ถ้าไม่รู้จักต้น เถา ใบ หัว ของยา แล้วไพล่ไปเอาต้นชนิดอื่นที่คล้ายกวาวเช่นต้นวิ่นอู่ แลต้นกวาวชนิดอื่น ๆ มาทำยารับประทาน อย่าว่าจะได้รับคุณประโยชน์เลย  กลับจะได้รับโทษกระทำให้ลำไส้บวมจนถึงแก่ชีวิต  ชนที่ไม่รู้จักต้นยาที่แน่จริงได้ไปเอาต้นยาที่ผิดมาใช้รับประทานกันได้เป็นไปดังที่กล่าวมาแล้วบ้างก็มี  กระทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดออกเข็ดขามว่ายาหัวกวาวเครือให้โทษ จึงไม่กล้าเอายาขนานนี้มารับประทานกัน  กระทำให้ปราศจากที่จะได้รับคุณประโยชน์ของยา

          วิ่นอู่ปิ่น เป็นเครือเช่นเดียวกับต้นกวาวเครือ ใบของมัน ก้านหนึ่งมี 5-6 ใบ ปลายใบไม่สู้แหลมเท่าใบกวาวเครือ ใบไม่สู้จะใหญ่นัก มียางสีขาว

ดะมะแหง่  ใบเหมือนใบกวาวเครือก็จริง แต่ใบนั้นก้านหนึ่งมี 5-6 ใบ  ใบเล็ก   มีหัวหรือไม่ไม่รู้ได้  ต้นกวาวที่แท้มีเพียง 3 ใบเท่านั้น

     เป๊าก์ตะซิ เป๊าก์ซัด เป๊าก์ไยง์  ต้นเหล่านี้ เถา ใบ ไม่ผิดเพี้ยนกับต้นกวาวเครือ     ดอกของต้นเหล่านี้แม้ฝูงนกยังไม่ดูดกินน้ำในดอกเลย  หัวนั้นเป็นรากลงไปคล้ายกับหัว  มียางแดงเหมือนโลหิต  รากก็ชักแดง ๆ  ขอระวังอย่าเข้าใจว่าเป็นหัวกวาวเครือแดง    ถ้าเอาไปใช้ทำยาอื่น ๆ ก็ได้ประโยชน์ เช่นถูกมีดพร้า ของมีคม    มีบาดแผลฉกรรจ์ถึงกระดูก ให้เอารากไม้นี้ทุบตำใส่แผลแล้วเอาผ้าผูกไว้ กระดูกที่หักแตกจะเชื่อมติดกันไปเอง

     เมื่อจะทดลองดู  ให้เอาเนื้อสดมาสัก 1 ก้อน เอามีดเชือดให้ขาดจากกัน  เอารากนี้ทุบตำ เอาน้ำนั้นทาที่รอยมีดเชือด   เอาทั้ง 2 ชิ้นต่อกัน  ห่อไว้สัก 2-3 วัน  คงจะเชื่อมติดกันตามเดิม      เรื่องนี้ได้ทราบจากคนอื่นเล่ามาอีกที ยังมิได้ทดลองดู

     จำพวกกวาวอีกชนิดหนึ่ง หัวกลมเล็ก ใบ ราก ต้น เถา ไม่ผิดกับกวาวเครือขาว ที่ใช้ทำยา  เพียงแต่ใบเล็กหัวเล็กเท่านั้น  ไม่ควรเอามาใช้ทำยา  (ชนิดนี้มีมากทางกาญจนบุรี..หมอเมือง)

        ตามที่ได้ขยายมานี้ไม่สู้จะชัดเจนนัก  ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งประสงค์จะสร้างยานี้ เมื่อไปเอามาแล้วให้เอาไปซักไซ้ไต่ถามผู้รู้เสียก่อน จึงค่อยใช้ทำยารับประทาน

กวาวเครือที่ใช้ทำยาได้

     ๑. กวาวเครือใบใหญ่ชนิดขาว ต้นของมันเป็นเถา ต้องอาศัยขึ้นต้นไม้ ถ้าไม่มีต้นไม้ก็เป็นเถาเลื้อยไปตามดิน ก้านหนึ่งมีเพียง 3 ใบเท่านั้น   แต่ไม่ใหญ่เท่าใบชนิดแดง สีใบเลี่ยน หัวนั้นสุดแล้วแต่ต้นใหญ่หรือเล็ก ดินดีหรือไม่ดี  ถ้าขุดจากโคนต้นลงไป มีรากจากต้นไปไกลสัก 1 ศอกถึง  1 วา จึงจะพบหัว รากเดียวกันอาจมีถึง 4-5 หัว รูปพรรณสัณฐานของหัวคล้ายหัวมันละแวกหรือมันแกวลาว ไม่สู้จะกลมเท่าไร  บางแห่งโตเท่าผลมะพร้าวลูกโต ๆหรือเท่ามะฟักเขียวก็มี  ถ้าเป็นพื้นที่เนื้อดินดีแล้วก็ยิ่งโตจนเท่าหม้อน้ำเย็นก็มี  บริเวณเมืองต่องอู่   ปยิ่นมะนา   เมืองมันตะเลมีนกิน   เมากะต่อ เป็นสถานที่หัวยาชุม  ประเทศอื่น ๆ ก็เข้าใจว่าคงหาไม่ยาก  เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่มีที่เชิงเขาดอยสุเทพ

      ให้เลือกเอาหัวที่แก่แล้วพอจะทำยาได้   เอามีดเชือดดูจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม (ข้อมูลนี้ผิดพลาด เพราะเถาที่มีใบเหมือนกวาวเครือแต่มียางนั้นเป็นชนิดมีพิษ ไม่ควรเอามาทำยา    ถ้าเป็นกวาวเครือขาวแท้จะไม่มียาง…..หมอเมือง)

หัวเหล่านี้เมื่อยังอ่อน กำลังเป็นหัวเล็ก ๆ เท่ากำมือ เส้นข้างในยังอ่อน มีน้ำมาก พวกเด็กเลี้ยงควายขุดเอามากินแทนน้ำเมื่อกระหายน้ำ เพราะฉะนั้น เมื่อหัวเหล่านี้โตขึ้นมาพอทำยาได้แล้วเอามาทำยา จะกินได้เท่าลูกพุทรา

     ในเวลานี้ ชนชาวเมืองมัณฑเล เมืองส่วยจีน เมืองเมี้ยวล่ะ เหล่านั้นได้เอาเฉพาะกวาวเครือชนิดขาวมาปรุงยารับประทานกัน  พวกนั้นจึงได้รับคุณประโยชน์ของยา  บางคนก็มีถันตั้งขึ้น แลปราศจากโรคาพยาธิทั้งปวง  ได้เห็นประจักษ์แก่ตาข้าพเจ้า

     ๒. กวาวเครือชนิดหัวแดง  พอเป็นต้นขึ้นจากดินโดยมากไม่ต้องอาศัยไม้อื่น  มีลำต้นชักต้นชักเครือขึ้นไปสูงพอสมควร แล้วก็เป็นพุ่ม คล้ายต้นดอกสบันงาจีน หรือมีเครือเล็ก ๆ แทรกออกบนพุ่มนั้น  ก้านหนึ่งมีเพียง 3 ใบ  ระหว่าง 2 ใบข้าง ๆ คือใบตรงกลางนั้นเป็นใบใหญ่ที่สุดถ้าจะเทียบก็เท่าใบตองตึงขนาดใหญ่ ๆ (ใบไม้พลวง)  ถ้าเอาข้าวสารครึ่งแครงหุงให้สุกแล้วเอาใบนั้นห่อก็จะมิดชิดได้  มียางแดงคล้ายโลหิต  ถ้าขุดที่โคนต้นลงไปจะพบรากที่ออกจากต้น ห่างสักประมาณ 8-9 นิ้ว แล้วจะมีหัวต่อออกไปทุกราก  รูปพรรณสัณฐานของหัวคล้าย ๆ งาช้างหรืองวงช้าง  หรือปล้องศอกปล้องแขน  มีล้อมรอบต้นของมัน  เมื่อเอามีดเชือดดูเปลือกหัวจะเห็นเส้นสีแดง  ยางนั้นจะแดงไม่ผิดกับโลหิต  เนื้อในหัวมีเส้นมาก แต่มีสีขาวมอ ๆ  ค่อนข้างหายาก  แต่ถ้าพบต้นหนึ่งใหญ่ขนาดลำแขนก็จะได้หัวประมาณ 1 เล่มเกวียน

     บางตำราขีดเขียนไว้โดยมิได้แยกชนิด น่ากลัวคนทั้งหลายจะเข้าใจว่าเป็นกวาวเหมือนกันและรับประทานจนเกินขีด  เพราะฉะนั้นขอให้พิจารณาดูฝอยตำราที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น รับประทานกันอย่าให้เกินขีด (ขนาด)

     ชนโบราณกล่าวไว้ว่า เมื่อเอาใบกวาวเครือแดงห่อเนื้อกระต่ายไว้สัก 1-2 ชั่วโมง เนื้อกระต่ายที่ห่อนั้นจะเป็นหนอนหมด  ถ้าเอาใบกวาวชนิดอื่นห่อจะไม่เป็นหนอน ขอให้พิจารณาให้ถี่ถ้วน  ถ้าหัวกวาวเครือที่ถูกต้องตามตำราที่กล่าวมาแล้วนั้นจึงจะเรียกว่ากวาวเครือแดงใบใหญ่ เอาไปใช้ทำยาได้ จึงจะได้รับคุณประโยชน์ตามที่กล่าวมาแล้ว

     กวาวหัวแดงชนิดนี้มีตามป่าระหว่างเมืองปะโก ตามเชิงเขายะแมติน และป่าแหล่เว ชามชุ ป่าจุนแดดปะยิ่นมะนา แต่ไม่สู้จะชุมเท่าชนิดขาว หาค่อนข้างยาก  แต่ถึงแม้หายาก เมื่อเจอต้นหนึ่งก็ได้หัวจนเหลือกินเหลือใช้  ชนิดหัวขาวนั้น เมื่อรับประทานจำเริญไปได้สัก 1-2 เดือน นมชักจะตึงใหญ่ขึ้นมา ส่วนแดงนั้น 5-6 เดือนนมก็ไม่ขึ้น สุดแต่จะเลือกชนิดไหน

     ๓.  กวาวเครือดำ  โดยมากลำต้นแลเถาไม่ผิดเพี้ยนกับชนิดแดง  ใบก็มี 3 ใบเหมือนกัน แต่ไม่สู้จะใหญ่เท่าชนิดแดง  ยางนั้นดำคล้ายสีดำ เนื้อเถาไม่แข็ง เถาอ่อนนุ่มนิ่ม   มีหัวเช่นเดียวกับชนิดแดง แต่ไม่ใหญ่เท่าแดง  ต้นหนึ่งไม่มีหัวมากเหมือนชนิดแดง  ยางมีสีดำจัด    ทราบว่ามีในป่าบ้านยีผิ่วยว่า  จังหวัดปะยิ่นมะนา  ฝั่งตะวันออกแม่น้ำมีบ้าง แต่ไม่ทราบว่าใครได้ไปพบเห็นและเอามาทำยาบ้าง  ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งพบเห็นแล้วจะเอามาทำยารับประทานนั้น  จะรับประทานได้เท่ากึ่งเม็ดมะก่ำเล็ก  หรือเม็ดมะก่ำใหญ่ผ่า 4 แล้วรับประทาน 1 ส่วนเท่านั้น

     ๔.  กวาวเครือมอ  ทุก ๆ ส่วนของต้น เถา ใบ หัว เหมือนชนิดดำ แต่เนื้อในหัวและยางมีสีมอ ๆ หาค่อนข้างยากเท่ากับชนิดดำ  ได้เห็นพระครูเมืองก่านอู่เอามาฉันแล้ว

คำเตือนที่สำคัญ

     ในโลกนี้มีความว่า “กินพอควรจะได้รับโชค  กินเกินควรจะได้รับโทษ”  ความข้อนี้ขอให้เก็บใส่ใจไว้ให้แน่นแฟ้น  ถึงแม้ข้าวเป็นอาหารของมนุษย์ รับประทานกันทุก ๆ วัน  แต่ถ้าเรากินพอสมควร อวัยวะของเราก็ช่วยย่อยลงไปเลี้ยงร่างกายให้มีกำลังวังชา     แต่ถ้าเรากินจนเกินควรก็อาจทำโทษเกิดเป็นท้องขึ้นอืดเฟ้อ  อวัยวะย่อยไม่ทันกลับเป็นโรคถึงแก่ชีวิตได้

     ถ้ารับประทานพอสมควรแล้ว  ถึงแม้เป็นยาพิษก็ยังกลับได้คุณประโยชน์    เช่นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าจันทคุปต์ ครอบครองเมืองปาตลีบุตร  เมื่อยังทรงพระเยาว์ พราหมณ์ชะนะกะเอายาพิษใส่พระกระยาหารให้เสวยวันละเล็กวันละน้อย ทวีขึ้นทุกวัน   ความประสงค์ของพราหมณ์มีอยู่ว่าถ้าเจ้าชายน้อยได้ขึ้นครองราชสมบัติจะไม่ให้ใครลอบวางยาพิษแก่พระองค์ได้   ดังนั้น เมื่อพระเจ้าจันทคุปต์ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ในเครื่องเสวยของพระองค์มียาพิษเจืออยู่ถึง 10 สลึง    พระองค์ยังเสวยได้โดยปราศจากอันตราย  ถึงแม้เป็นยาพิษจริง ๆ   ถ้ารับประทานวันละเล็กวันละน้อย นาน ๆ เข้าก็รับประทานมากขึ้นได้

     ยาหัวกวาวเครือนี้ก็เช่นกัน   ทีแรกก็รับประทานเท่าเม็ดมะก่ำ  นานวันก็ทวีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อนานไปก็ทานเท่าลูกพุทราได้    ชนบางพวกเห็นว่าเป็นยาดี อยากให้อ้วนพลีดีงามเร็วเกินไป ได้รับประทานยาจนเกินอัตรา  ตรงกันข้ามที่จะได้รับคุณประโยชน์ กลับได้รับโทษเสียก็มีมากต่อมาก    ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งต้นรับประทานทีแรกให้รับประทานดังนี้

          กวาวเครือขาว    รับประทานเท่าเม็ดในมะขาม

          กวาวเครือแดง    รับประทานเท่าเม็ดมะก่ำใหญ่

กวาวเครือดำ      รับประทานเท่าเม็ดมะก่ำผ่า 4 กิน 1 ส่วน

แล้วค่อยทวีขึ้นทีละน้อย  ต่อไปถ้าถึง 3 เดือน 6 เดือน เมื่อยาออกฤทธิ์ซึมซาบไปทั่วร่างกาย เราจะ

กินมากขึ้นก็ได้



28.ว่านขันหมากเศรษฐี

ผมได้ศึกษาสมุนไพรและยาไทยอยู่หลายปี พบสูตรยาอายุวัฒนะมากมายหลายร้อยสูตร หลายสูตรนำไปปรุงกินเองก็เห็นว่าได้ผลดี จึงนับถือยาไทยและสมุนไพรไทย   ต่อมาก็เผยแพร่เรื่องกวาวเครือติดต่อกันหลายปี จนมันโด่งดังคับประเทศ   แล้วมันก็ดับไปเพราะความดังเกินไปของมันเอง
 ต่อมาก็ไปพบพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง อายุเจ็ดสิบกว่าปี คือหลวงพ่อดำ ศิษย์พ่อท่านคล้าย วาจาศิษย์   ก็อยู่รับใช้ใกล้ชิดท่าน เห็นท่านแข็งแรงดี เมื่อถามก็ทราบว่าท่านฉันผลว่านขันหมาก    ผมก็เที่ยวหาว่านขันหมากอยู่หลายปี จนที่สุดก็พบเป็นดงเป็นดาน ก็ได้ผลว่านมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว   แต่ว่านขันหมากก็เป็นว่านพิลึกกึกกือ ตั้งแต่ออกดอก จนผลสุกเต็มที่ ใช้เวลาถึง 3 ปี   ถึงจะดีวิเศษอย่างไรก็ทำธุรกิจยาก แต่ปีไหนได้มาผมก็เขียนลงหนังสือส่งข่าวถึงคนที่สนใจสมุนไพรให้รับรู้กัน   ก็มีเสียงตอบรับมากมาย เมื่อลองกินแล้วได้ผลก็บอกต่อ ๆ กัน
 หมอพื้นบ้านหลายท่านที่รู้จักว่านนี้ดี ปลูกไว้ในบ้านหลายต้น ในเวลาหลายปี หวังจะได้รับประทานผลของมันบ้าง   แต่ก็เสียใจมาทุกปี เพราะไม่เคยให้เห็นแม้แต่ดอก   เขาจึงนับถือกันว่าเป็นว่านวิเศษเสี่ยงทาย ใครปลูกไว้ในบ้าน ถ้าว่านขันหมากออกดอกออกผล คนนั้นจะเจริญรุ่งโรจน์   คนจึงนิยมหาต้นว่านขันหมากมาปลูกไว้ในบ้าน   แต่แม้กระทั่งต้นก็อย่าหาว่าหาได้ง่าย ไปเดินสวนจตุจักรยังพบบ้าง ไม่พบบ้าง   แม้นายเกษตรแห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐจะนำไปเขียนลงหนังสือถึง 2 – 3 ครั้ง ตรงไปยังที่หมาย”สวนจตุจักร” ก็ยังพบน้ำเหลว   เพราะเป็นของหายากครับ   แล้วเรื่องผลของว่านจึงอยู่ในความใฝ่ฝันของหมอพื้นบ้านหลาย ๆ คน   เมื่ออ่านพบเรื่องที่ผมเขียนก็ไม่รอช้า รีบติดต่อทันที

มีอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งอยู่พิจิตร เป็นศิษย์ของหลวงปู่โง่น วัดเขาไม้รวก และศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ   ได้ยินหลวงพ่อทั้งสองท่านเล่าถึงความมหัศจรรย์ของว่านขันหมากหลายครั้ง   โดยเฉพาะหลวงปู่โง่นนั้นกำชับนักหนา ให้หาผลว่านขันหมากกินให้ได้   ท่านว่าที่ท่านอายุร่วมร้อยปีแต่ยังแข็งแรงดีก็เพราะได้กินว่านขันหมากนี่แหละ   อาจารย์ท่านนี้กับคุณแม่ก็แสวงหามากว่าสิบปี ไม่พบสักที แม้สวนจตุจักรก็เที่ยวหาทั่วแต่ไม่พบ   ต่อมามีคนแจ้งให้เข้าเว็บ sanyasi.org   จึงพบว่านขันหมากของหมอเมืองที่นั่น
เมื่อต้นปี 2546 ผมเปิดร้านขายยาอยู่เมืองแพร่ นำต้นว่านขันหมากจากป่ามาปลูกไว้หลายกระถาง มีผลให้เห็นด้วย มีพี่ผู้หญิงที่รักนับถือกันมาจากเชียงราย มาพบเข้าก็ถามว่าต้นอะไร ก็บอกเขาว่า ว่านขันหมากเศรษฐี   แกได้ฟังก็หูผึ่ง บอกว่านี่หรือคือว่านขันหมาก   พวกผู้หญิงไฮโซเชียงรายจ้างชาวเขาไปหาผลมาให้ ให้ราคาผลละ 100 บาท ได้มาทีละ 3-5 ผล เขากินแล้วสุขภาพดี ผิวพรรณสวยงาม    ผมก็เลยเอาให้แกไปขายเพียงผลละ 30 บาท เพื่อช่วยชีวิตแกตอนตกต่ำ   แกนำไปขายไม่กี่วันก็หมด แล้วให้ผมส่งไปให้อีก ก็หมดอีก    ก็นับว่าเขากินแล้วได้ผลกันจริง ๆ   ต่อมาคนที่เคยกิน เมื่อไม่มีผลกินก็ลองไปเอาต้นมาหั่นตากแดด แล้วนำมาผสมน้ำผึ้งกิน ก็ไม่ทราบว่าได้ผลดีแค่ไหน

ต่อมาได้แสวงหาดงว่านขันหมากทั่วเมืองแพร่ ขึ้นไปบนภูเขาสูงมาก   ลงไปเยี่ยมชาวบ้านที่ตั้งกระท่อมอยู่กลางหุบเขา แกปลูกต้นไผ่หวาน และเลี้ยงไก่ชนอยู่ราว ๆ 10 ตัว    ผมเหลือบไปเห็นลูกว่านขันหมากราว ๆ 20 ผล ตากอยู่บนแคร่ จึงถามว่าลูกอะไร    แกบอกว่าไม่รู้จัก   ผมถามว่าแล้วเก็บมาทำไม    แกว่า ผมเห็นไก่ป่ามันกินก็เลยเอามาให้ไก่ตัวเองกิน   ผมถามว่าแล้วไก่ตัวเองกินได้ผลเป็นอย่างไร    แกว่าสุดยอดเลย ตั้งแต่กินลูกว่านนี้แล้วไปชนที่ไหนไม่เคยแพ้   และมันบินได้เหมือนไก่ป่าเลย       จึงถามแกว่า ถ้าให้หาลูกว่านชนิดนี้นำมาขายให้ผมจะได้ไหม   แกว่าไม่ได้หรอก หายากจะตาย ผมเที่ยวหาทั่วป่าก็ได้มาแค่นี้แหละ      ผมทำทีขอซื้อที่แกมีอยู่ แม้ลูกละร้อยแกก็ไม่ยอมขาย     นั่นคือเหตุเกิดก่อนที่ผมจะพบดงของว่านขันหมาก

ผมได้ลูกว่านจำนวนมากเมื่อปลายปี 2547   จากนั้นก็เข้าป่าทุกปีก็พบบ้างนิดหน่อย เดินไปหลายขุนเขาก็ได้ไม่เกิน 3 กิโลกรัม   จนมาครบรอบ 3 ปี 2551 ก็ได้ผลว่านขันหมากมากมายอีกเป็นคำรบสอง   แต่คราวนี้ได้มาจากหลายแหล่งด้วยกัน นำมาฝานตากแห้งแล้วอัดแคปซูล   รับประทานวันละ 2 แคบซูล ก่อนนอน     แต่รับประทานเพียง 1 อาทิตย์ก็เห็นผลแล้วครับ   ผิวพรรณจะผุดผ่องขึ้นมาก่อน   จากนั้นโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็ค่อย ๆ หายไปเอง เร็วบ้างช้าบ้าง แล้วแต่ความสลับซับซ้อนของโรคและความเสื่อมของร่างกาย   เพราะยาอายุวัฒนะเป็นยาที่รักษาความเสื่อมของร่างกาย   ดังนั้นโรคที่เกิดมาจากความเสื่อมของร่างกาย กล่าวคือ เบาหวาน ความดัน หลอดเลือดตีบ เส้นหัวใจตีบ โรคเก๊าท์ เป็นต้น ก็จะค่อย ๆ หายไปเอง    แม้แต่โรคมะเร็งก็เถอะ ขันหมากนี่แหละยอดนัก   และหลาย ๆ คนก็รู้เรื่องนี้ดี

หลวงพ่อดำที่ผมกล่าวถึงแต่ต้นท่านเล่าว่า ท่านฉันเพียง 9 ผลเท่านั้น ทำให้ท่านแข็งแรงมาถึงทุกวันนี้ แม้ผมก็ยังดำเป็นส่วนมาก    และหมอสมุนไพรคนหนึ่งเล่าสรรพคุณว่าได้ทานเพียง 7 ผลเท่านั้น ร่างกายที่ใกล้ตายก็ฟื้นคืนมา ผมหงอกขาวโพลนก็กลับดำโดยไม่ต้องย้อม    จากลักษณะเหมือนอายุ 80 ปี ดูเหมือน 60 ปี     ทั้งหลวงพ่อดำและหมอท่านนั้นยืนยันว่า ถ้าใครได้กินว่านชนิดนี้เมื่ออายุเท่าไร ร่างกายก็จะคงอยู่ในวัยนั้นตลอด    ข้อนี้ผมกลับไม่ยอมเชื่อ    เพราะร่างกายของคนเราเกิดขึ้นมาจากธาตุทั้งสี่ มีอันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เป็นธรรมดา    ไม่ใช่ร่างทิพย์ของเทวดา จึงไม่มีว่านยาชนิดไหนที่กินครั้งเดียวแล้วเป็นหนุ่มสาวตลอดกาล    ยาอายุวัฒนะมันต้องจำเริญกิน คือกินติดต่อกัน   อย่างน้อยสักครึ่งปี   เมื่ออวัยวะทั้งหลายที่มันเสื่อมกลับมาแข็งแรงดีแล้วก็สามารถหยุดได้ชั่วคราว พอผ่านไป3-5 ปี ร่างกายมันเสื่อมทรุดอีก ก็หายานี้กินอีก    

29.สมุนไพรกับเส้นเลือดตีบ

ท่านเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่

·        หายใจลำบาก  หายใจไม่ทั่วท้อง ทำให้ต้องหายใจสั้น ๆ และเร็วขึ้น บางทีเหมือนใจจะขาด

·        เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย ใจสั่น วิงเวียนศีรษะเป็นประจำ

·        มีอาการชาตามมือและเท้า แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง

·        มีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ คอ แขน หรือด้านหลัง  ปวดเสียวเหมือนเข็มทิ่มแทงตั้งแต่สะบักหลังจนถึงระหว่างซี่โครงหน้าอกด้านใดด้านหนึ่ง  ให้หมอนวดนวดจนกล้ามเนื้อระบมก็ไม่รู้สึกว่าดีขึ้น

·        ปวด แน่น จุกเสียดหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับหรือบีบที่หน้าอก

·        ปวดเมื่อยตามเส้นต่าง ๆ  บางครั้งก็หายได้ง่าย ๆ ด้วยการนวดหรือประคบ  แต่บางทีนวดอย่างไรก็ไม่หาย  หมอนวดบอกว่าเส้นมันลึกนวดไม่ถึง  ก็จริงของเขาครับ

นั่นแหละครับคืออาการของเส้นเลือดตีบ   มันตีบส่วนไหนก็ทำให้เจ็บเสียวปวดเมื่อย ในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับเส้นนั้น ๆ

เส้นหัวใจตีบก็ทำให้เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก  หายใจไม่ทั่วท้อง  จุกแน่นหน้าอก เป็นต้น  เป็นที่แน่ชัดว่า อาการตีบเกิดขึ้นได้ในหลอดเลือดทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ตับ ไต ตลอดจนอวัยวะอื่น ๆ ก็อาจมีอาการตีบเช่นกัน  เช่น  เมื่อมีอาการตีบเกิดขึ้นในหลอดเลือดเลี้ยงสมองจะทำให้แขนขาอ่อนแรง ใบหน้าบิดเบี้ยว ลิ้นชา พูดไม่ชัด ตามัว เดินเซเหมือนคนเมาหล้า  และเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตในที่สุด เมื่อมีอาการตีบเกิดขึ้นในหลอดเลือดที่แขนขา จะทำให้แขนขาเหน็บชา  หรือในคนไข้โรคเบาหวานอาจต้องตัดส่วนที่มีปัญหาทิ้งในที่สุด  ถ้าเส้นเลือดแถวตะโพกตีบก็ทำให้ปวดเสียวตามแข้งขา หรือเส้นเลือดสมองตีบก็ทำให้แข้งขาหมดกำลังจนกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้  

                อาการเส้นเลือดตีบบางครั้งก็คล้ายอาการกระดูกข้อต่อสันหลังกดทับเส้นประสาท   แต่มีข้อแตกต่างกันคือถ้าเส้นเลือดตีบกินยาสมุนไพรก็หายได้ง่าย ๆ  แต่ถ้ากระดูกกดทับเส้นประสาทยาก็ช่วยได้ไม่มาก  อย่างดีก็พอทุเลาบ้างเล็กน้อย  ถ้าให้หมอผ่าตัดก็ห้าสิบ ๆ   ทำอย่างไรก็ไม่ดี  นับเป็นโรคเวรโรคกรรมจริง ๆ   ต้องทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่ก่อโรคจึงมีโอกาสหาย

                ผู้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรคนี้กันมาก นั่นเพราะอาหารการกินของคนไทยยุคก่อนล้วนมีแต่ผักข้างรั้วซึ่งเป็นสมุนไพรที่หาได้ตามธรรมชาติ ไม่ต้องซื้อต้องหา  ถ้าเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ก็จะมีเครื่องเทศร้อน ๆ ผสมอยู่  สมุนไพรเหล่านั้นช่วยทำลายไขมันในเลือดไปในตัว  และปรับธาตุให้สมดุล  คนสมัยก่อนจึงมีชีวิตที่ปลอดภัยจากโรคเส้นเลือดตีบ    มาในยุคหลัง ๆ นี้นิสัยการบริโภคอาหารของคนไทยค่อย ๆ เปลี่ยนไป ซึ่งมีสาเหตุหลายประการเช่น   ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้คนส่วนมากมีเงินทองซื้ออาหารบริโภคได้ตามใจชอบ  และเน้นการบริโภคที่การศึกษาด้านสุขศึกษายุคก่อนหน้านี้ให้การแนะนำ คือ บริโภคเนื้อ นม ไข่  ซึ่งบริบูรณ์ด้วยโปรตีนและไขมันจะทำให้คนเรามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง   เมื่อมีกำลังซื้อคนก็เลยซื้อสิ่งเหล่านี้มากินกันเป็นจำนวนมาก    อีกประการหนึ่ง   คนสมัยก่อนทำงานใช้กำลังกันมาก  แต่มายุคหลังการใช้กำลังกายลดน้อยลง  ทำให้การเผาผลาญอาหารส่วนเกินลดลง ไขมันจึงเพิ่มขึ้น   อีกประการหนึ่ง สมัยก่อนคนเราเดินมาก เคลื่อนไหวร่างกายมาก  มาทุกวันนี้ไปไหนมาไหนล้วนขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซด์   เมื่ออยู่กับบ้านก็นั่งนอนดูทีวี  ดูไปกินไป   ร่างกายก็สะสมไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้นทุกวัน   แล้วมันจะไปอยู่ไหนถ้าไม่สะสมอยู่ในกระแสเลือด   อีกประการหนึ่ง  เดี๋ยวนี้อาหารที่พวกเรากินมักเต็มไปด้วยสารพิษส่วนหนึ่ง   การบริโภคสุราเมรัยมากเกินบ่อยเกินทำให้ตับและไตทำงานหนักจนเกินไป   ตับไม่สามารถทำลายพิษที่สะสมอยู่ในอาหารให้หมดไปจากร่างกายได้   ไตมีสภาวะอ่อนกำลัง  ไม่สามารถขับส่วนเกินที่ร่างกายใช้งานออกจากร่างกายได้  จึงทำให้ทั้งพิษ ทั้งไขมัน ทั้งโปรตีน อยู่ในร่างกายมากเกินความต้องการ  นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเส้นเลือดตีบ     โรคเบาหวานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง  เลือดข้นเกินไปก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง

                ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่ามันมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้เกิดเส้นเลือดตีบ   การจะแก้ไขที่เหตุภายนอกจึงเป็นเรื่องยาก

การจะแก้ไขที่อาหารก็เป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก  เพราะกลายเป็นวัฒนะธรรมการบริโภคของคนสมัยใหม่ไปแล้ว  จึงมีทางเลือกทางเดียวคืออาหารเสริม หรือยาสมุนไพรประเภทยาอายุวัฒนะ ซึ่งสามารถรับประทานได้ทุกวันในปริมาณที่พอเหมาะ   ก็สามารถแก้ไขรักษาอาการโรคหลอดเลือดตีบได้เป็นอย่างดี

                ยาอายุวัฒนะของไทยเรามีมากมายหลายร้อยสูตร  แต่ละภาคก็มียาอายุวัฒนะที่ขึ้นชื่อของตัวเอง   ตัวหมอเมืองเองเป็นคนชอบศึกษาตำรายาอายุวัฒนะ  เท่าที่ได้ค้นคว้าสะสมตำรายาอายุวัฒนะจากตำราของภาคต่าง ๆ  มีมากกว่าร้อยสูตร   ชื่อสมุนไพรของแต่ละภาคบางชนิดก็เหมือนกัน บางชนิดก็แตกต่างกัน   สมุนไพรบางชนิดก็มีในถิ่นนั้น ๆ  ภาคอื่นไม่มี   แต่เท่าที่หมอเมืองได้ท่องเที่ยวมาทุกภาคของประเทศไทย พบว่าภาคที่มีสมุนไพรดี ๆ มีคุณภาพสูงคือภาคเหนือ   ยกตัวอย่างกวาวเครือ  ถ้าเราจะหากันจริง ๆ มันก็มีแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้   แต่กวาวเครือที่มีคุณภาพสูงกลับเป็นกวาวเครือจากภาคเหนือ  คนที่ซื้อกวาวเครือบริโภคประจำ จะรู้ความแตกต่างในข้อนี้ดี   และพันธุ์กวาวเครือของแต่ละพื้นที่ก็มีข้อแตกต่างกัน  บางท้องที่ก็มีโอสถสารที่เป็นพิษเป็นส่วนผสมอยู่ ทำให้เกิดโรคหัวใจตีบได้เหมือนกัน เช่นหลวงปู่ฝั้นฉันกวาวเครือของอีสานประจำทำให้เกิดโรคเส้นหัวใจตีบ  นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้นำผงกวาวเครือไปพิสูจน์จึงพบสารที่ก่อให้เกิดโรคนั้น    แต่กวาวเครือทางเหนือกลับช่วยโรคเส้นหัวใจตีบได้  นี่ก็เป็นข้อแตกต่างของสมุนไพรที่เกิดในแต่ละภาค    ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วิจัยโอสถสารจากกวาวเครือขาว และประกาศให้รู้กันทั่วไปว่า นอกจากไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งแล้วยังมีสารที่ป้องกันมะเร็งได้ด้วย   นี่ก็เป็นข่าวดีของกวาวเครือ   แต่ไม่ค่อยมีสื่อใดหรือหน่วยงานใดหรอกที่ช่วยกระพือข่าวดี ๆ แบบนี้   ถ้าเป็นข่าวร้ายแล้วชอบเอามาเล่นกันเหลือเกิน  ยังจำกันได้มั้ยครับที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยาได้ออกคัตเอ้าท์  “กวาวเครือ มะเร็ง   ๆ ๆ “   เผยแพร่ไปทุกสื่อ  จนผู้คนหวาดกลัวกวาวเครือกันทั้งประเทศ    แต่ไม่เห็นเอาข่าวดีของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาโหมโฆษณาแก้ข่าวให้มั่งเลย

                เกี่ยวกับสูตรยาอายุวัฒนะ หรือสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคหัวใจตีบ หรือโรคเส้นเลือดตีบนี่ก็มีครับ  ใช้ได้ผลดีมาก  รับประกันผลได้เพราะทดลองมากับตัวเองและผู้คนที่เกี่ยวข้อง สามารถสืบดูอาการกันได้ ยานั้นคือ  ตรีกวาวเบญจกูล                         ผมมักเกิดอาการปวดแถวสะบัก  หมอนวดบอกว่าเส้นสะบักจม  ให้หมอนวดรักษาทีไรก็ระบมกลับมาทุกที   เพราะเขาคิดว่าเส้นคือเส้นเอ็น  ต้องควักต้องล้วงดึงเส้นให้หย่อนยาน   กล้ามเนื้อเลยอักเสบ  แท้จริงแล้วการนวดทำให้เส้นเลือดเดินได้สะดวก  แต่มันดีชั่วครู่ชั่วยาม  แต่ต้นเหตุมันไม่ได้รับการรักษา   อาการเส้นสะบักจมคือเส้นเลือดซึ่งอยู่ส่วนลึกมันเดินไม่สะดวก  ระบบมันฟ้องว่าผิดปกติ  แต่เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงก็รักษาผิดทาง  มันจึงไม่หาย กลับจะเป็นหนัก

                เมื่อผมคิดค้นพบยาสูตรนี้ ได้ทดลองกินดูประมาณไม่เกินอาทิตย์  อาการปวดเสียวที่สะบักก็หายขาด   ทั้งนี้เพราะตรีกวาวเบญจกูลไปทำลายไขมันที่ทำให้เส้นเลือดอุดตัน   เมื่อเลือดเดินได้สะดวกดี  อาการปวดเสียวชาจึงหาย  คนแก่บางคนปวดเมื่อยเสียวชามาหลายปี  ยาที่ไหนดี  หมอที่ไหนเก่ง  แพงเท่าไรไม่ว่าหามากิน แต่ก็ไม่หาย  กลับมาหายง่าย ๆ ด้วยยาตรีกวาวเพียง  2 อาทิตย์เท่านั้น    จึงขอฝากให้ผู้ป่วยลองนำไปใช้ดู จะได้หายจากทุกข์ทรมาน.

                1.หัวกวาวเครือดำ    2. หัวกวาวเครือแดง   3.หัวกวาวเครือขาว   4.ดอกดีปลี   5.รากช้าพลู   6.เถาสะค้าน   7.  รากเจตมูลเพลิง   8.  หัวขิงแห้ง    สัดส่วนเท่ากัน  นำมาตากแห้ง บดเป็นผง  ผสมน้ำผึ้ง  กินขนาดปลายนิ้วก้อยก่อนนอน

30.สมุนไพรกับโรคเก้าท์

          โรคเก๊าท์ ชื่อนี้เรียกตามฝรั่ง เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่า GOUT คือโรคปวดตามข้อต่อกระดูก ข้อนิ้ว ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก เป็นปุ่มเป็นปมและเจ็บปวดมาก โรคชนิดนี้แต่ก่อนพวกเราไม่ค่อยพบเห็นกัน จึงไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทย  แต่เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ ไปทางไหนก็เจอ  และมีคนป่วยประเภทนี้มาปรึกษาหมอเมืองมากเหลือเกิน ก็เล่าจากปากสู่ปากก็พากันมานั่นแหละ แม้หมอแพทย์บางท่านก็ไล่คนไข้ไปหาหมอเมืองก็มี  ทั้งนี้เพราะเป็นที่รู้กันว่ายาสมัยใหม่ที่ใช้รักษาโรคนี้ให้หายขาดไม่มี หาหนังสือที่เขียนขายกันในท้องตลาดเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ ท่านบอกเพียงว่าเกิดจากการมีกรดยูริคสะสมที่ข้อต่อจึงทำให้เกิดโรคนี้และบอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่ได้มีแต่รักษาให้บรรเทาความเจ็บปวด และต้องระวังรักษาเรื่องอาหารการกิน อย่ากินอาหารที่มีไขมันและโปรตีนมาก เพราะร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นกรดยูริคซึ่งจะไปสะสมเพิ่มในข้อต่อทั้งปวงแล้วทำให้เกิดการเจ็บปวดขึ้นมาอีก  จึงทำให้คนเป็นโรคนี้ต้องอดกินอาหารที่ถูกปากถูกคอ

โรคนี้จะเกิดกับผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนมาก มีผู้หญิงเป็นกันบ้างไม่มากนัก ผู้ป่วยโรคนี้ก็จะป่วยเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคนิ่ว โรคเบาหวาน ความดันสูง และหัวใจ ค่อยทยอยตามกันมาก่อนบ้างหลังบ้าง  ต้นเหตุของมันเกิดจากไตเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานจึงไม่สามารถขับกรดยูริดและไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้  การจะรักษาโรคนี้จึงต้องรักษาฟื้นฟูให้ไตกลับมีสมรรถภาพเหมือนเดิม โรคเก๊าท์ก็จะหายขาดได้  แต่ในขณะที่ไตมีพลังขึ้นมาขับล้างกรดที่สะสมในข้อต่อต่าง ๆ ผู้ป่วยจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นเหมือนโรคกำเริบประมาณไม่เกินหนึ่งอาทิตย์  ถ้ากรดยูริคตามข้อลดลงอยู่ขั้นปกติเมื่อไรโรคก็หายเมื่อนั้น ถ้าผู้ป่วยพยายามกินยาหรืออาหารบำรุงรักษาไตให้ดีโรคเก๊าท์ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก และสามารถรับประทานอาหารที่ถูกปากได้ทุกชนิด และไม่ต้องกลัวโรคไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด  แต่พึงระวัง อย่าดื่มสุราเมรัยบ่อยนัก เพราะไตจะเสื่อมอีก

                การจะรักษาฟื้นฟูไตให้กลับมีสมรรถภาพดุจเดิมนั้นทางแพทย์แผนใหม่ไม่มียา นอกจากเปลี่ยนไตโดยเอาไตเทียมหรือไตคนตายมาเปลี่ยนให้ แต่ก็มีชีวิตอยู่ดูโลกได้ไม่นานนัก  ทางแพทย์จีนเขาเก่ง เขามียารักษาโรคไตเสื่อม ไตวาย และมียาฟื้นฟูบำรุงไตให้กลับฟื้นเป็นปกติ  ยาบำรุงที่เขาใช้คือเขากวางอ่อน นำมาขูดให้เป็นฝอยกินทุกวันไตก็จะฟื้นสภาพขึ้นมา เพราะในเขากวางอ่อนนั้นมีฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นตัวรักษาฟื้นฟูสภาพไตให้แข็งแรงดุจเดิม แต่เขากวางอ่อนที่เขาใช้กันนั้นเป็นเขากวางจากถิ่นหนาวจัดเช่นไซบีเรียเป็นต้น จึงจะมีฮอร์โมนเพศสูง สามารถใช้ได้ดี ถ้าเป็นเขากวางในเขตร้อนจะได้ผลช้า  แต่เขากวางอ่อนดังกล่าวก็แพงเกินที่คนธรรมดา ๆ อย่างเราจะซื้อมากินได้

โชคดีที่ประเทศไทยเรามีสมุนไพรหลากหลายชนิด   หมอเมืองเคยทดลองให้ผู้ป่วยโรคไตวายขั้นบวมทั้งตัวและนิมนต์พระมาให้ศีลเพื่อเตรียมตัวตายกินสมุนไพรกวาวเครือแดงก็กลับมีสุขภาพดีขึ้นตามลำดับจนหายเป็นปกติ  และผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดเลี้ยงหัวใจตีบกินสมุนไพรกวาวเคือแดงก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายเป็นปกติ  ผู้ป่วยโรคเก๊าท์กินสมุนไพรชนิดนี้ก็หายเป็นปกติมาหลายคนแล้ว   แต่ช่วงที่ไตขับกรดยูริกออกจากข้อนั้นจะทำให้เจ็บปวดทรมานมาก  ผู้ป่วยต้องอดทนเพื่อจะได้หายอย่างยั่งยืน  และท่านควรรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ติดต่อกันสัก 6 เดือน ไตของท่านก็จะกลับแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ต่อจากนั้นอะไร ๆ ที่มันเคยเสื่อมถอยหรือหดหายไปก็จะกลับมาหาท่านอีกครั้ง โบราณท่านจึงว่ากินสมุนไพรกวาวเครือแดงแล้วจะกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง  

 31.สมุนไพรกับแผลในกระเพาะอาหาร

                มีโรคชนิดหนึ่งที่คนเป็นกันมากและรักษาไม่รู้จักหาย  เป็นแล้วทรมาน  กินก็ปวดท้อง ไม่กินก็ปวดท้อง ถ้าอาการหนักก็ถึงขั้นถ่ายเป็นเลือด  หน้าซีดหน้าเซียว อาหารแต่ละมื้อก็กินแต่รสจืดชืด จะกินให้แซบ ๆ ก็กินกับเขาไม่ได้  ไปหาหมอก็ได้แต่ยาน้ำสีขาว ๆ มากินเคลือบกระเพาะ และยาขับลม  ไปหาหมอสมุนไพรก็อาจได้ขมิ้นชัน หรือเปล้าน้อย หรือกล้วยดิบตากแห้งบดผงมาชงกิน  ถ้าเป็นไม่มากก็อาจหาย  หรือถ้าตั้งใจกินก็อาจหาย  แต่ปัญหาของคนป่วยส่วนมากคือขี้เกียจกินยา หรือลืมกินยา  นี่แหละที่ทำให้ป่วยเรื้อรังกันเป็นส่วนมาก  แล้วไอ้เจ้าโรคกระเพาะนี่มันต้องขยันกินยาซะด้วยซี  จะกินบ้างไม่กินบ้างก็ไม่ได้  ลองคิดดูเถอะครับ  แผลที่เป็นภายนอกทายาทุกวันยังหายช้า และเราก็คอยระวังไม่ให้บาดแผลสกปรก  แต่แผลที่ถูกสารพัดอาหารรดราดลงไปทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ ครั้ง  นอกจากนั้นก็ยังมีน้ำกรดย่อยอาหารหลั่งออกมารดราดอยู่วันละหลาย ๆ ครั้งเช่นกัน  นึกดูเถอะว่ามันสาหัสขนาดไหน  และมันจะหายง่าย ๆ ได้อย่างไร  หรือด้วยยาสมุนไพรวิเศษขนานใด

สมุนไพรที่สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารมีหลายชนิดในเมืองไทย  เพียงแต่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ ไทยวิจัยกันอย่างจริงจัง  แต่ชาวบ้านหรือหมอพื้นบ้านบางคนรู้สรรพคุณของมันดี และใช้กันมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว  เช่นสาบเสือ คนเหนือเรียกหญ้าแมงวาย  คนอีสานเรียกหมาหลง  เวลาขึ้นตรงไหนก็แพร่หลายจนเป็นต้นเป็นกอติด ๆ กันหนาแน่น หมาเข้าไปยังหาทางออกไม่ได้ จึงเรียกหมาหลง  ส่วนที่เรียกแมงวายก็เพราะมีสารที่กำจัดแมลงได้  สังเกตดูเถอะ ไม่มีแมลงตัวไหนที่กินใบไม้ชนิดนี้   ส่วนชื่อสาบเสือนั้นเกิดจากกลิ่นของใบ แต่เคยเข้าใกล้เสือก็ไม่เห็นว่ามันจะเหมือนกลิ่นเสือตรงไหน  ฟาร์มผึ้งชอบสาบเสือมาก หากพบดงสาบเสืออยู่ตรงไหนเขาจะนำรังผึ้งไปวางไว้ในบริเวณนั้น จึงได้น้ำผึ้งกลิ่นดอกสาบเสือ ซึ่งไม่เหม็นเหมือนใบของมัน

                สาบเสือมีสรรพคุณในการรักษาแผลและห้ามเลือดได้ดีมาก  ใครโดนมีดบาดจนเลือดไหล ลองขยี้ใบสาบเสือโปะที่บาดแผลดูเถอะ เลือดจะหยุดทันที และแผลจะแห้งหายเร็ววัน   เพราะเหตุนี้จึงมีชาวบ้านบางคนทดลองเอาใบสาบเสือมาคั้นเอาแต่น้ำดื่มกินลงไป  แผลในกระเพาะอาหารก็หายเร็ววันเช่นกัน  แต่ก็ต้องทนกลิ่นฉุนของมัน และคงไม่ได้ดื่มครั้งเดียวหรอกครับ  ทางที่ดีคั้นเอาน้ำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ ดื่มก่อนอาหารวันละ 3-4 ครั้ง คงหายเร็ววันแน่นอน

                สมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ให้ผลเป็นเลิศในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารคือ กลิ้งกลางดง  ทางเหนือเรียกมะหำเบ้า  เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันขึ้นต้นไม้ใหญ่ แต่เป็นไม้ล้มลุก เจริญงอกงามในฤดูฝน  พอถึงหน้าแล้งเถาและใบก็โทรมแห้งเหลือแต่หัวอยู่ใต้ดิน  ถึงหน้าฝนก็งอกเถาและใบขึ้นมาอีก  มีใบโตสวยงามลักษณะแบบใบโพธิ์ มีร่องใบลึกชัด  ใบโตขนาดฝ่ามือกลาง   ติดผลที่เถา ผลโตขนาดลูกมะตูมหรือใหญ่กว่านั้นก็มีมาก  ผลโตเต็มที่และหลุดร่วงประมาณมกราคม-มีนาคม  เป็นไม้ขึ้นตามป่าริมชายเขา เมื่อผลหลุดหล่นก็กลิ้งลงไป จึงเรียกกลิ้งกลางดง พอถึงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ผลว่านนี้จะงอกเถาหมด แม้เก็บไว้ในถุงฟางก็ยังงอกเถาอยู่ในถุงได้  ปลูกง่ายจริง ๆ   เป็นว่านยาชนิดหนึ่งที่นักนิยมว่านชอบเล่น  เชื่อกันว่าใครได้กินผลว่านนี้จะทำให้คงกระพัน และมีพละกำลังมาก    วิธีใช้ทำยา  หมอแผนโบราณที่รู้สูตรยานี้จะนำผลกลิ้งกลางดงมาบดเป็นผงผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ แล้วผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน  กินก่อนอาหารทุกมื้อ  ไม่ถึงเดือนหรอกครับ โรคแผลในกระเพาะอาหารจะทุเลาหรือหายสนิท  บางคนอาจกินนานกว่านั้น ส่วนหมอเมืองนำผงยาที่ผสมแล้วบรรจุแคปซูล  รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล ก่อนอาหาร 3 เวลา   นอกจากรักษาแผลในพระเพาะอาหารแล้วยังเป็นยาบำรุงร่างกาย  ทำให้เรี่ยวแรงดี  มีภูมิต้านทานโรคได้ดี  ทำให้การหมุนเวียนโลหิตดี ผิวพรรณดี









32.หนอนตายอยาก ว่านยามากสรรพคุณ




เรื่องหนอนตายอยากผมทราบสรรพคุณมานาน และเคยใช้ประกอบยาในผู้ป่วยโรคเอดส์และมะเร็งได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจอยู่เหมือนกันเพราะหนอนตายอยากนี้ได้รับการวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาแล้วว่ามีฤทธิ์ต้านเอดส์และมะเร็งได้ดี






การใช้สมุนไพรเดี่ยวนั้นเคยแนะนำผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ต้นคอเอาไปต้มกินและตำพอก ได้ข่าวจากคนที่นำมาพบบอกว่าหายดีแล้ว เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม 2545 ผู้เขียนท่องเที่ยวอยู่โคราช ได้ไปกราบหลวงปู่สุคนธ์ วัดป่าอิสสริการาม ขามทะเลสอ เมื่อสนทนากันถึงเรื่องสมุนไพรซึ่งท่านสนใจเป็นพิเศษ ท่านบอกกับผู้เขียนว่ามีคนป่วยมะเร็งลำไส้อาการโคม่ารายหนึ่งเอาหนอนตายอยากมาต้มกินประจำก็หายจากมะเร็งลำไส้ แต่ถึงแม้ผู้เขียนจะรู้สรรพคุณมานานแล้วก็ไม่มีเวลาที่จะหาต้นยานี้อย่างจริงจังสักที  ไปซื้อจากร้านขายสมุนไพรก็ได้สมุนไพรเป็นหัวแห้ง ๆ เต็มไปด้วยหินดินทราย  จะนำมาล้างตากอีกทีก็ค่อนข้างยาก จึงทำให้การประกอบยาเป็นไปด้วยอุปสรรค  เพราะสมุนไพรหลายตัวที่ซื้อมาล้วนมีปัญหาดินทรายปะปนมา การทำความสะอาดตอนแห้งไม่ง่ายเหมือนสมุนไพรสด  ยาบางขนานจึงขาดตลาดไปนาน ไม่กล้าที่จะทำขึ้นมาอีก  จนไปอยู่เชียงรายจึงพบดงหนอนตายอยากทั้งชนิดหัวและชนิดที่เรียกว่าขอบชะนางแดงและขาวซึ่งเขาก็เรียกหนอนตายอยากเหมือนกัน มีสรรพคุณเป็นยารสเบื่อเมา แก้น้ำเลือดน้ำเหลืองและฆ่าเชื้อเช่นเดียวกัน  ไปพบคนรู้จักกัน เขาว่าหมอพื้นบ้านที่เพชรบูรณ์คนหนึ่งใช้หนอนตายอยาก(ขอบชะนาง)ผสมยารักษาโรคเอดส์และมะเร็ง รักษาหายมาก และเขาพยายามปกปิดเป็นความลับอย่างที่สุด  พี่คนนี้ไปหามาปลูกไว้ หมอมาพบเข้าบอกว่าปลูกไว้ในบ้านเป็นเสนียดจัญไรไม่ดีเลย ให้ถอนทิ้งเสีย  คนไม่รู้นี่ พอฟังดังนั้นก็กลัวตามหมอว่าจึงถอนทิ้งเสียหมด แถมไปเห็นคนอื่นปลูกไว้ก็ไปบอกคนอื่นถอนทิ้งอีกเหมือนกัน  กว่าจะรู้ว่าถูกหมอหลอกเพราะกลัวเอาไปทำยาแข่งก็ผ่านมานาน และมาบ่นเสียใจอยู่  นี่เป็นเรื่องของมงคลตื่นข่าว  เขาว่าอย่างไรก็ว่าตามกันไปโดยลืมนึกถึงเหตุผลที่แท้จริง



                เมื่อสงกรานต์ปี 2545 ไปท่องแดนธรรมที่อีสานก็ไปแวะดูตลาดสมุนไพรลาวที่ท่าอุเทน นครพนม ก็พบเห็นสมุนไพรหลากหลายชนิด ราคาก็ไม่แพง จึงได้แหล่งสมุนไพรแห่งใหม่  ต่อไปคิดจะหาสมุนไพรสดทำยาก็หาได้ที่นี่  ท่านผู้อ่านไปเที่ยวแถวนครพนมก็ลองแวะไปดูทุกวันจันทร์และพฤหัส ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง มีของทั้งฝั่งลาวและไทยขายกันเยอะ  ใครรู้จักสมุนไพร หรือแสวงหาสมุนไพรแปลก ๆ ที่นั่นน่าจะพอหาได้ หรือสั่งให้เขาหาให้ได้ เพราะราคาย่อมเยาจริง ๆ   ไปพบคนไทยคนหนึ่งแถวศรีสงคราม แกพูดถึงเปลือกไม้หายากชนิดหนึ่งว่านำมารักษาโรคมะเร็งหายทุกคนในเวลาไม่เกิน 2 เดือน แม้อาการจะหนักอย่างไรก็ตาม  เมื่อไต่ถามลักษณะเขาก็บอกให้ทราบ  แต่บอกว่าหายากมาก ต้องไปหาในป่าลึกแถวเพชรบูรณ์  ถามราคาเขาบอกว่าเขาตั้งราคาไว้กิโลละ 1 ล้านบาท  ผมฟังแทบช็อก  เขาบอกว่ามีคนเคยมาขอซื้อกิโลละ 3 แสน  ผมก็มานึกว่าทำไมคนเราบางคนนี่มันแสนจะเว่อร์สุดกู่  ต่อมาผมท่องไปท่องมาไปพบเขาขายเปือกไม้ชนิดนี้ราคามัดละไม่กี่บาทเอง  ก็ยังไม่ทราบจะมีสรรพคุณอย่างเขาว่าจริงหรือไม่  ถ้าใช้ได้จริงก็จะมีส่วนช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งได้อีก  หาไปเรื่อยแหละครับจนกว่าจะได้ของดีมาช่วยผู้คน

                เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2545  ไปเที่ยวงานแพทย์แผนไทยที่กระทรวงสารธารณสุข เห็นเขาเอาหนอนตายอยากมาวางขายกันเยอะ ทั้งชนิดหัวเล็ก ที่ภาษาสมุนไพรเรียกว่า "กะเพียดหนู" และชนิดหัวใหญ่ ภาษาสมุนไพรเรียก "กะเพียดช้าง"   ถามราคาหัวดิบ ขายกันที่กิโลกรัมละ 70-80 บาท  ก็ไม่ถือว่าแพง เพราะเป็นของมีคุณภาพสูงและหายาก  มันมีในป่าบางพื้นที่เท่านั้น ผู้เขียนเที่ยวป่าไหนก็สอดตาหาดูต้นไม้ทุกประเภทเผ่าพันธุ์ ไม่ค่อยพบหนอนตายอยากหรอกครับ  หายากยิ่งกว่ากวาวเครือขาวเสียอีก  อย่างที่ตลาดท่าอุเทนก็ไม่มี  ยิ่งกวาวเครือขาวทางโน้นหายาก  คนฝั่งลาวไปเอาหัวว่านกิมเจ็งมาวางขาย บอกว่าหัวกวาวเครือขาว ถามราคาดูเขาว่ากิโลกรัมละ 30 บาท (หัวดิบ)  คนไม่รู้เอาไปทำยากินก็จะไม่พบสรรพคุณของกวาวเครือขาวเลย  เรื่องของคนขายสมุนไพรนี่ก็เชื่อไม่ค่อยได้หรอกครับ  เราต้องรู้จักสมุนไพรจริง ๆ จึงจะได้ของจริงของแท้  ไปซื้อตามคนขายบอกไม่ได้หรอก เพราะทำตาม ๆ กัน  ถ้าผิดก็ผิดตาม ๆ กัน เพราะชาวบ้านเขาไม่รู้จริงนั่นเอง  อย่างเช่นว่านขันหมาก เคยได้ข่าวว่าคนขายสมุนไพรที่เชียงใหม่นำไปขายกรุงเทพ ฯ  ต้นละ 20 บาท  จึงตามไปดูที่เชียงใหม่  ไปถามแกว่าต้นไหนคือว่านขันหมากที่คุณส่งไปขายกรุงเทพ ฯ  เขาก็พาไปชี้ดูว่านค้างคาว  หรืออีกชื่อเรียกว่า “เนระพูสีไทย”  เห็นไหมครับ  ไม่ใช่ว่าคนขายสมุนไพรจะรู้ต้นไม้ทุกต้น บางครั้งเขาก็ทำไปตามกระแส  ผมเขียนเรื่องกวาวเครือ พอกวาวเครือดังคนก็พากันขายกวาวเครือ  ตอนนี้มาเขียนเรื่องว่านขันหมาก คนก็พากันหาว่านขันหมากมาขาย  แต่จะเป็นขันหมากจริงหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง   แม้ตัวผมเองก็ใช่ว่าจะรู้ทุกอย่าง  พวกว่านตระกูลเง่าเช่น   ว่านนางคำ ว่านเอ็นเหลือง ว่านมหาเมฆ และอีกมากมายก่ายกอง ผมไม่มีความชำนาญเช่นพวกขายต้นว่าน  ใบและต้นมันคล้ายกัน  หัวก็คล้ายกัน เขาแยกออก แต่ผมแยกไม่ออก  ก็ต้องไปซื้อของเขามาปลูกแล้วศึกษา แล้วปักป้ายแยกไว้เป็นชนิด ๆ   ตอนนี้ปลูกไว้หลายชนิด  ค่อย ๆ ซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จะสร้างสวนสมุนไพรในฝันเอาไว้ให้คนได้ศึกษาเรียนรู้กัน

ทีนี้มากล่าวถึงหนอนตายอยากทางวิชาการกันเสียที    ในหนังสือไม้เทศเมืองไทยของหมอเสงี่ยม พงษ์บุญรอด ว่า

กะเพียด หรือหนอนตายอยาก Stemona Callinsae

                เป็นไม้เลื้อยตามพื้นดิน หรือพาดพันตามต้นไม้อื่น ใบโต ปลายใบเรียวแหลมคล้ายใบพลู เส้นลายในใบถี่ละเอียด  ต้นเป็นเถาคล้ายพลูมาก มีฝักเล็ก ปลายฝักแหลม กว้างราว 1 ซม. มีดอกเล็ก ๆ เป็นกลีบ ๆ คล้ายดอกจำปา ดอกสีแดงชนิดหนึ่ง สีขาวชนิดหนึ่ง  เป็นไม้ล้มลุก เจริญในฤดูฝน สิ้นฤดูฝนก็เหี่ยวแห้งไป ถึงฤดูฝนก็งอกงามขึ้นมาอีก (เพราะมีหัวอยู่ใต้ดิน) ชอบขึ้นตามป่าบนเชิงเขา มีมากบนเขาเขียว จังหวัดชลบุรี(สมัยก่อน) และในภาคตะวันออกทั้งหมด ภาคเหนือและภาคกลางก็พอหาได้

                ประโยชน์ทางยา รากกะเพียดหรือหนอนตายอยากนี้มีอัลกาลอยด์ชื่อ Stemonine ใช้รากทุบให้ละเอียดผสมน้ำฟอกล้างผมฆ่าทำลายเหาหิด โขลกพอกปิดปากแผลสัตว์เลี้ยงที่เลียไม่ถึงฆ่าหนอนในแผลให้ตายสิ้น  ใช้ผสมน้ำฉีดทำลายหนอนที่มารบกวนพืชให้ตายสิ้นเช่นเดียวกับรากโล่ติ้นของจีน

                แพทย์พื้นบ้านต้มรากรับประทาน และต้มกับยารมหัวริดสีดวงทวาร ทำให้หัวริดสีดวงแห้งฝ่อหายได้  ทุบรากสดใส่ไหปลาร้าทำให้หนอนตายสิ้น ชื่อที่เรียกกัน หนอนตายอยาก กะเพียดหนู โป่งมดง่าม  และอีกชนิดหนึ่งคือ กะเพียดช้าง  มีลักษณะเหมือนกะเพียดหนูทุกอย่าง ที่ผิดกันคือใบใหญ่และเส้นใบหยาบกว่า เถาโตกว่า หัว ดอก ฝัก ใหญ่ยาวกว่าทุกส่วน  ชนิดนี้มีมากทางสระบุรี ภาคตะวันออกมีบ้างประปราย  ทางลพบุรีและสระบุรีเอามาขายในงานพระพุทธบาทกับพวกว่านต่าง ๆ  รากใช้แช่น้ำปูนขาวหรือขยำน้ำเกลือแล้วเชื่อมเป็นแช่อิ่มรับประทานได้ นอกจากนั้นใช้ในการบำบัดโรคผิวหนังและริดสีดวงเช่นเดียวกับกะเพียดหนู  ชื่อที่เรียกกัน หนอนตายอยากใหญ่ กะเพียดช้าง”

                ตามประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่ากะเพียดเล็กมี 2 ชนิดคือชนิดรากสั้นอวบ และรากเล็กยาว ส่วนใบและเถาเหมือนกัน สรรพคุณก็คงเหมือนกัน  ในป่าบางพื้นที่พบชนิดรากเล็กยาวแห้ง คล้ายรากมะพร้าวซอนไซไปไกลพอสมควร ดูแล้วแห้งจนไม่น่าเอามาทำยา  คือไม่สวยเอาเสียเลย ดูท่าจะล้างทำความสะอาดลำบาก  ชนิดสั้นอวบนั้นน่าขุดน่าปลูกเหมือนกะเพียดช้าง  แต่ข้อแตกต่างระหว่างกะเพียดหนูและช้างนั้น กะเพียดช้างได้ผลผลิตมากกว่า น่าปลูกเป็นไม้ประดับด้วย เพราะให้เถาและใบที่สวยงามมีเสน่ห์น่าชมไม่น้อยทีเดียว ถ้าปลูกลงกระถางต้องใช้กระถางใบโตจึงให้หัวที่สวยงาม ชนิดเล็กหาได้ง่ายกว่าชนิดใหญ่  เดี๋ยวนี้หมอเมืองพบแหล่งหัวหนอนตายอยากเป็นดงขนาดใหญ่ในเมืองแพร่ ปลูกไว้ก็มี นำมาหั่นตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูลก็มี  เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยนั่นแหละครับ ส่วนสรรพคุณที่ทดลองได้ผลดีคือ รักษามะเร็งลำไส้  แผลเรื้อรังในลำไส้ ริดสีดวงทวาร พอกรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

                การใช้รักษามะเร็งและเอดส์นั้นใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยวค่อนข้างจะสะดวก เพราะเขามีฤทธิ์เดชในตัวเอง  คนเคยใช้ได้ผลก็มีหลายคน จึงไม่จำเป็นต้องเข้าประกอบกับสมุนไพรอื่นอีก  วิธีใช้กิน 3 เวลา ก่อนอาหาร  ครั้งละ 3 แคปซูลก็เพียงพอแล้ว

33.ว่านรางจืด

ว่านรางจืดนี้มีด้วยกันหลายชนิด เช่นว่านรางจืดชนิดเถาดอกสีม่วง ๑,  หิ่งหายใหญ่เรียกรางจืดต้น๑,  รางจืดอีกชนิด เป็นพืชประเภทเหง้าสีขาว มีใบเหมือนขมิ้น ต้นใบกอดูภายนอกเหมือนขมิ้นขาวมาก๑, และต้นเขยตายแม่ยายชักปรกทางอีสานก็เรียกรางจืดเช่นกัน และนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากในการรักษางูกัด  แต่ที่จะกล่าวในที่นี้คือรางจืดเถาชนิดดอกสีม่วง

                ว่านรางจืดชนิดนี้มีสรรพคุณดีที่สุดในบรรดารางจืดทั้งหมดในด้านการล้างพิษ และเป็นสมุนไพรล้างพิษที่ดีที่สุด ออกฤทธิ์เร็วที่สุด  มีอยู่ครั้งหนึ่งสุนัขที่บ้านโดนวางยาเบื่อนอนชักน้ำลายฟูมปากอยู่หน้าประตู จึงเอารางจืดผสมน้ำกรอกเข้าปาก ภายใน 15 นาที สุนัขตัวนี้ลุกขึ้นวิ่งได้และหายเป็นปกติ   เป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก   โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองสุพรรณบุรีได้ให้ข่าวแก่สื่อมวลชนว่าแต่ก่อนมีคนดื่มยาพิษ ญาติพามาให้หมอรักษา โอกาสรอดนั้นครึ่งต่อครึ่ง ถ้าล้างท้องทันก็ไม่ตาย  แต่หลังจากใช้รางจืดดอกสีม่วงมาให้คนป่วยดื่มโอกาสรอดชีวิตมีสูงเกือบเต็มร้อย

                มีหลายคนเล่ากันว่ากินรางจืดดื่มเหล้าไม่เมา  ข้อนี้ผมทดลองมาแล้วไม่เป็นความจริงดังเขากล่าว  แต่การกินรางจืดขณะกินเหล้าหรือหลังกินเหล้าจะให้ผล 2 ประการคือ  ดื่มเหล้าเมาช้ากว่าคนไม่กิน  และเมื่อสร่างเมาแล้วจะไม่มีอาการแฮ้งค์คือปวดหัวหรือปวดท้อง  เคยทดลองแบ่งกลุ่มคนดื่มเหล้าออกเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 3 คน  กลุ่มหนึ่งไม่กินรางจืด อีกกลุ่มหนึ่งกินรางจืดก่อน  เมื่อดื่มเหล้าเต็มที่แล้วกลุ่มที่กินรางจืดจะเมาไม่มากคือแทบไม่แสดงอาการเมา  แต่กลุ่มที่ไม่กินรางจืดจะเมาคอพับไปก่อน  เมื่อสร่างเมาแล้วคนที่ไม่กินรางจืดจะบ่นปวดหัวบ้างปวดท้องบ้าง แต่กลุ่มที่กินรางจืดมีอาการปกติ

                รางจืดนี้ถ้าใช้รับประทานประจำทุกวันสามารถล้างพิษในโลหิตและพิษที่ตกค้างในร่างกายออกได้  เป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งอันเนื่องมาจากสารพิษสะสมในร่างกายได้เป็นอย่างดี  และผู้ป่วยมะเร็งถ้ารับประทานรางจืดประจำก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้น  และผมเข้าใจว่าสามารถล้างพิษจากการฉีดยาคีโมได้ ข้อนี้ผู้ป่วยต้องทดลองดู    มีผู้ที่สั่งรางจืดจากผมครั้งละหลายร้อยกระปุกได้เล่าให้ฟังว่าแม้ผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานรางจืดก็มีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างประหลาด น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้น  ผมไม่ยืนยันในข้อนี้เพราะยังไม่ได้ทดสอบ  แต่มีคนเล่าให้ฟังอย่างน้อย 3 คน






ตามตำราเภสัชแผนโบราณกล่าวถึงสรรพคุณของรางจืดไว้ว่ารางจืดมีรสจืดเย็น  ใบ ราก เถา ตำคั้นหรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดหู  ตำพอกแก้ปวดบวม  ทั้งต้นปรุงยาแก้มะเร็ง




พ.ต.อ.ชลอ อุทธกภาสก์  ได้เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับรางจืดไว้ในหนังสือ”คู่มือยาสมุนไพร และโรคประเทศเขตร้อน และวิธีบำบัดรักษา   ว่าสามารถใช้รางจืดรักษาคนที่ถูกวางยาเบื่อ  ยาสั่งมีพิษร้าย  คนเมาสุราจนสิ้นสติ  คนรับประทานเห็ดพิษ ใบไม้หรือผักมีพิษ  สัตว์ที่มีพิษต่าง ๆ  พิษจากสารเคมี  หรือยาพิษจากสมุนไพรต่าง ๆ  โดยภาพรวมแล้วรางจืดเป็นยาประจำบ้าน  เป็นหมอประจำบ้าน   มีรางจืดอยู่กับบ้านสามารถช่วยชีวิตคนยามฉุกเฉินได้ดีที่สุด  แทบจะไม่ต้องพึ่งโรงพยาบาลเลย

                ทุกวันนี้มีบริษัทผลิตยาแผนโบราณบางบริษัทผลิตรางจืดแคปซูลออกวางตลาด แต่ใช้ใบรางจืดอบแห้งบดผงแล้วบรรจุแคปซูล ก็มีสรรพคุณที่ดีเหมือนกันแต่ยังไม่ดีที่สุด เพราะส่วนที่ดีที่สุดของรางจืดอยู่ที่ราก ข้อนี้ผมได้ทดสอบด้วยตัวเองก็ตรงกับตำรากล่าวไว้ ท่านว่า รากมีรสแรงกว่าแก่น ๆ มีรสแรงกว่าเปลือกต้น ๆ มีรสแรงกว่ากระพี้ ๆ มีรสแรงกว่าใบ  ใบแก่มีรสแรงกว่าใบอ่อน  ดอกแก่มีรสแรงกว่าดอกอ่อน  ลูกแก่มีรสแรงกว่าลูกอ่อน ลูกแก่มีรสแรงเสมอเปลือกต้น  ดอกอ่อนมีรสเสมอกับใบอ่อน  ดังนั้นถ้าท่านจะใช้ส่วนใดของสมุนไพรก็พิจารณาไปตามหลักการนี้

34. สมุนไพรกับโรคเบาหวาน

เบาหวาน  ไม่ใช่หวานน้อย  คนไม่เป็นเบาหวานก็ไม่ได้หมายความว่าหวานมาก   กว่าจะรู้คำนี้ก็เข้าใจผิดมาเสียนาน   แท้จริงแล้ว คำว่า”เบา” แปลว่า”ฉี่”  หรือปัสสาวะ  หรือเยี่ยว  เวลาไปฉี่ ยังมีคำเรียกมากกว่านี้อีก  ไปชิ้งฉ่องบ้าง  ไปยิงกระต่ายบ้าง  หึหึ  ภาษาไทยนี่มีถ้อยคำฟุ่มเฟือยเหลือเกิน

โดยปกติ เยี่ยวของเราไม่ได้มีรสหวาน  แต่มีรสเค็มเหมือนเหงื่อ  เวลาเก็บเยี่ยวไว้นาน จนแห้ง มันจะมีเกลือจับอยู่  เมื่อเก็บเยี่ยวไว้มาก ๆ  ก็จะได้เกลือจำนวนมาก  เกลือนี้เรียก”เกลือมูต” เป็นยาชนิดหนึ่ง ดีทางระบายขับถ่ายท้อง

ตรงท่อปัสสาวะที่ต่อมาจากไตจะมีวาวปิดเปิดอัตโนมัติ   ถ้าน้ำตาลในเลือดไม่เกินปกติน้ำเยี่ยวก็ไม่หวาน   แต่ถ้าน้ำตาลในเลือดเกิน 180%ขึ้นไป  มันก็จะซึมผ่านวาวสู่ท่อปัสสาวะ  ทำให้น้ำปัสสาวะหวาน  จึงเรียกว่าเบาหวาน  ถ้าน้ำฉี่มีความหวานมากเท่าใดก็ย่อมเป็นอันตรายเท่านั้น

คนที่ใช้คำว่าเบาหวานก่อนใคร ๆ ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณแพทย์ไทยนี่แหละ   เหตุที่เรียกเบาหวานนั้น เริ่มต้นก็สังเกตเห็นฉี่ของคนป่วยมีมดมาไต่ตอม  ต่อมาก็ลองชิมน้ำเยี่ยวของคนป่วย  (ก็แค่แตะน้ำแปะลิ้นเท่านั้นแหละ)  จึงรู้ว่ามีรสหวาน  อ้อ..มิน่าล่ะมดจึงตอม   หมอจึงเรียกว่าเบาหวาน   (ก็แปลกว่าทำไมไม่เรียกว่า”เยี่ยวหวาน  หรือปัสสาวะหวาน  ดันไปเรียกว่าเบาหวาน  ก็เลยฟังดูเหมือนอ่อนน้ำตาล)

ถ้าถึงขั้นเยี่ยวมีรสหวานนี่อาการมันมากแล้วนะครับ   เพราะปกติค่าน้ำตาลในเลือดของคนเราไม่เกิน 130 มก/ดล  (เจาะเลือดหลังงดอาหาร 8-12 ชม.)   หรือ ไม่เกิน 180 มก/ดล  (เจาะเลือดหลังกินอาหาร 2 ชม.)   ถ้าน้ำตาลมันมากเกินขนาดนี้ร่างกายก็จะผิดปกติ  ร่างกายของเราจึงมีระบบฟ้องอัตโนมัติ  เป็นเสียงไซเลนเงียบ คือฉี่เป็นน้ำตาล เพื่อบอกว่าระบบกลไกภายในผิดปกติแล้วนะ  ต้องเช็คด่วน  รักษาด่วน

อาการที่เริ่มบ่งบอกอย่างอื่นนอกจากเยี่ยวหวานแล้วก็มีอาการปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลียมาก ๆ  หิวบ่อยกินบ่อย  คันตามตัวยุกๆยิกๆ  คันตามอวัยวะเพศ  คันตามใบหน้า แต่มันคันอยู่ใต้ผิวหนังราวกับมีตัวอะไรแหย่อยู่ใต้ผิวหนัง  ทำให้นอนหลับไม่สนิท  มักมีอาการชาตามมือตามเท้า  เพราะระบบไหลเวียนของโลหิตติดขัด  ก็เลยพลอยให้เกิดโรคอีกชนิดหนึ่งแถมมาคือปวดตามเส้นตามเอ็น ตามกล้ามเนื้อ ในเพศชายทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว  ถ้าเป็นมาก หรือน้ำตาลในเลือดมีจำนวนมากก็ทำให้สายตามัว  มองอะไรก็มัว ๆ  บางทีก็เหมือนมีอะไรดำ ๆ ลอยไปลอยมา ปล่อยนานไปก็มองอะไรไม่เห็น  ตาดับสนิท  เวลาเป็นแผลก็หายยาก   บางคนถึงขั้นแข้งขาเน่า ต้องถูกหมอตัดทิ้ง   กลายเป็นคนแข้งด้วนขาด้วน    ก็เพราะไอ้เยี่ยวมีรสหวานนี่แหละ  ตัวดีนักแล

ต้นเหตุของเบาหวาน(น้ำเยี่ยวหวาน)

จากการค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่นานก็พบว่า  โดยปกติในเลือดของทุกคนก็ย่อมมีน้ำตาลกลูโคสผสมอยู่  น้ำตาลกลูโคสมีหน้าที่คล้ายน้ำมันที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ให้เกิดพลังงาน    กลูโคสจะไหลเวียนไปกับกระแสเลือดเข้าสู่เซลต่าง ๆ  สร้างพลังงานชีวิตให้เกิดขึ้น  ถ้าร่างกายขาดกลูโคสจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง

แต่ทำไมผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีเลือดเอ่อนองไปด้วยน้ำตาลจึงรู้สึกอ่อนเพลียเหมือนคนขาดน้ำตาล    นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า  เพราะคนป่วยขาดอินซูลิน   คำว่าอินซูลินเป็นชื่อฮอร์โมนชนิดหนึ่งซึ่งหลั่งมาจากตับอ่อน    และจะหลั่งคลุกเคล้าไปกับเลือด  มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนน้ำตาลในเลือด   ฮอร์โมนตัวนี้เองที่สามารถนำพากลูโคสเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลต่าง ๆ  ราวกับญาติสนิทมิตรสหายของเซลล์ที่พาคนดีเข้าไปจุดตะเกียงส่องแสงในบ้าน   ถ้าขาดอินซูลิน เซลล์ก็ปิดประตูบ้าน ไม่ยอมให้กลูโคสเข้าไป   เซลล์ก็ขาดพลังงานทันที   เมื่อน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลไม่ได้ ก็พากันเอ่อนองอยู่ในกระแสเลือด  ไหลเวียนมาที่ไต  ถูกไตขับออกมาทางปัสสาวะ   จึงเกิดอาการเยี่ยวหวานขึ้นมา

ดังนั้น ต้นเหตุที่แท้จริงของเบาหวานหรือเยี่ยวหวานคือตับอ่อนซึ่งเป็นโรงงานผลิตอินซูลินในร่างกายมันเสื่อม  ไม่มีประสิทธิภาพในการผลิตอินซูลิน     การรักษาที่แท้จริงคือทำอย่างไรตับอ่อนจึงจะผลิตอินซูลินได้    วงการแพทย์จึงผลิตยาขึ้นมากระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน   ซึ่งมีหลายกลุ่ม

ผู้ที่จะพูดหรือเขียนเรื่องยาได้ต้องเป็นแพทย์หรือเภสัชกร   หมอเมืองพูดหรือเขียนก็เป็นการอวดดี  เพราะเอาความรู้ของเขามิใช่ของตัวมาเผยแพร่   หน้าที่ของหมอเมืองคือพูดถึงเรื่องสมุนไพรที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้

ก็ต้องคิดค้นต่อไปว่า ทำไมอยู่ ๆ ตับอ่อนมันถึงเสื่อม   มันทำงานอยู่ดี ๆ  วันดีคืนดีมันกลับทำงานไม่ได้   พอเข้าไปสอบถาม มันบอกว่าข้าน้อยป่วย เลยทำงานไม่ได้   เมื่อถามถึงสาเหตุของผู้ป่วยบางคนก็บอกว่า  ข้าน้อยเคยดื่มเหล้าดื่มเบียร์มาก ๆ  มาก่อน  มาช่วงหลังนี้จึงหยุดดื่ม   นี่แสดงว่าระบบตับถูกพิษแอลกอฮอร์ทำลาย จึงทำงานเป๋ไปเป๋มา   คือคนเคยดื่ม พอหยุดดื่มอวัยวะที่มันชินกับสิ่งนั้นจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน   เหมือนคนเสพยาเสพติดไง  เมื่อขาดมันก็หงุดหงิด   เช่นคนที่กินฝิ่นวันละนิดขนาดหัวไม้จิ้มฟัน  จะขยันขันแข็ง  ร่างกายแข็งแรง  อายุยืนยาว เหมือนชาวเขาสมัยก่อน  แต่อย่าให้ขาดนะ  ถ้าวันไหนไม่ได้กินจะลงแดงตายเอา   หมดเรี่ยวหมดแรงทันที    เขาไปฝึกให้ร่างกายชินกับสิ่งนั้น  พอขาดมันก็เลยเกิดปัญหา   การจะแก้ไขก็ต้องล้างเอาสิ่งนั้นออกให้หมด  ไม่ให้เหลือเชื้อ   ร่างกายจึงจะคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม  

ผู้ป่วยเยี่ยวหวานบางคนเกิดจากเสื้อสายเหล่ากอ  ตับในสายพันธุ์นี้พออายุมากขึ้นจะหมดประสิทธิภาพในการทำงาน   แบบนี้แก้ยาก   ในที่สุดจะกลายเป็นผู้ป่วยที่ต้องรับอินซูลินจากหมอประจำ   ต้องฉีดอินซูลินเข้าเส้นเลือดทุกวัน  เพื่อนำอินซูลินภายนอกเข้าไปปรับระดับน้ำตาลในร่างกาย  เลยกลายเป็นผู้ป่วยเบาหวานแบบเด็ก    คือพวกที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินตั้งแต่เด็ก

ต้นเหตุอีกประการหนึ่งของโรคเยี่ยวหวาน  คืออยู่สุขสบายเกินเหตุ   ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย   พวกทำงานแบบนั่ง ๆ นอน ๆ  ระวังตัวให้ดี  เพราะร่างกายของคนและสัตว์มันต้องเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ   คือต้องมีอิริยาบถสม่ำเสมอ   ไม่มากไม่น้อย   คือยืน เดิน นั่ง นอน

ใครอย่าคิดว่านอนมาก ๆ จะสบายนะ  ลองนอนดูสัก 10 ชั่วโมงสิ   หัวนี่มึนตึ๊บเลย  ยิ่งถ้านอนแบบไม่เปลี่ยนอิริยาบถ  คือไม่พลิกซ้าย ไม่พลิกขวา ไม่ยกแข้งไม่ยกขา ไม่ยกแขน  รับรองประสาทแดก  คำว่าประสาทนี่ตรงตัวเลยนะ ไม่ต้องแปลกัน   ระบบประสาททั้งระบบเกิดอาการทุกข์ระทมทันที   นั่งนาน ๆ  ยังไม่เกิดปัญหาเท่านอนนาน ๆ  เพราะอาการนอนนี่มันมีบางส่วนสำคัญของร่างกายถูกกดทับ  ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก    บรรดานักพรตโยคีที่เข้าฌานเป็นเดือนเป็นปี ไม่มีใครนอนเข้าฌาน  ต้องนั่งทั้งนั้น    การนอนมากจึงไม่ใช่สิ่งที่ดี  

พระพุทธเจ้าทรงพระปัญญามาก  ท่านตรัสสอนให้สานุศิษย์ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เสมอกัน  ร่างกายจะได้สมดุล  จะห่างไกลจากอาพาธ คือห่างจากโรคนั่นเอง

ตกลงสรุปว่า โรคเบาหวานที่แก้ได้ รักษาได้ มีเพียง 2 ชนิดคือ  พวกที่ถูกพิษสุรา หรือยาพิษ  และพวกที่นั่งมากนอนมาก แต่ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย    พวกหลังนี่แก้ง่ายเข้าไปอีก   เพียงกินยาหมอกระตุ้นให้ตับทำงาน  และหมั่นเคลื่อนไหวร่างกาย   ซึ่งไม่จำเป็นต้องวิ่งไปตามท้องถนน หรือสวนสาธารณะ  หรือไปเต้นแร้งเต้นกาเข้าจังหวะเพลงกับเขาก็ได้  ยืนอยู่ในห้องของเรา  แกว่งแข้งแกว่งขา  ก้ม ๆ เงย ๆ  เอี้ยวซ้ายเอียงขวา  ทำสักหลาย ๆ นาทีต่อวัน  ทำแต่ละครั้งเมื่อรู้สึกว่าร่างกายมันผ่อนคลายสบายองค์ก็ใช้ได้

ส่วนพวกที่ถูกพิษของสุรายาเสพติดหรือพิษที่เจือกับอาหารแต่ละมื้อ ต้องแก้โดยกินรางจืด   ถ้าใครมีเถารางจืดก็เอาเถารางจืดมาล้างสับเป็นชิ้น ๆ  ตากแห้งเก็บไว้ใช้ต้มกินน้ำของมันทุกวัน   กินต่างน้ำแบบน้ำชาก็ได้  รสชาติคล้ายน้ำชามาก   บางคนต้องการสะดวกก็ไปหาซื้อชนิดแคปซูลก็มีขายตามร้านสมุนไพรบางร้าน  ซึ่งชนิดแคปซูลนี้เขานำใบมาอบแห้งแล้วปั่นผงบรรจุแคปซูล  ก็ใช้ได้ครับ  แต่ต้องดูว่าเขาอบแบบไหน  ถ้าอบไม่เป็น  สีเขียวหายไป สรรพคุณก็อ่อนด้อย   เพราะใบไม้มีสรรพคุณที่สีเขียว  ส่วนที่วิเศษสุดของรางจืดอยู่ที่รากครับ   หมอเมืองใช้รากอย่างเดียว  เพราะบ้านเกิดของหมอเมืองเต็มไปด้วยรางจืดทุกหนทุกแห่ง  มันมากจนชาวบ้านต้องฟันทิ้ง   แต่มันก็งอกเถาขึ้นมาอีก   พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันมีคุณงามความดีอะไรบ้าง  จึงไม่มีใครรู้จักใช้ประโยชน์ของมัน   ซึ่งก็ดีต่อหมอเมืองที่ไม่มีใครแย่งวัตถุดิบ   แต่หมอเมืองก็ต้องปลูกครับ   เดี๋ยวนี้ได้พื้นที่ปลูกสมุนไพรแล้วประมาณ 30 ไร่   เมื่อพัฒนาดีแล้วจะนำมาลงเว็บไซด์ sanyasi.org ให้ดู    ติดกับน้ำตกด้วย  อีกหน่อยจะเป็นสมุนไพรรีสอร์ท  นอกจากปลูกสมุนไพรแล้วยังเป็นอาศรมจิตราวนาปรัสถ์  ให้คนไปนั่งสมาธิภาวนาด้วย   อยู่ในเขตอำเภอสีคิ้ว  นครราชสีมา ครับ

ผู้ป่วยเบาหวานที่ดื่มน้ำรางจืด  หรือรางจืดแคปซูลติดต่อกันทุกวันจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว    แม้น้ำตาลในเลือด 300%  ดื่มรางจืดทุกวัน  ครบเดือนไปตรวจ   น้ำตาลลดลงอยู่ในระดับปกติเลยครับ    ถามผมนี่แหละรู้ดี   ก็ผมทดลองเอง   เป็นหมอเอง  นั่ง ๆ นอน ๆ เอง  ขี้เกียจกินยาดี ๆ ของตัวเอง  กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นเบาหวานก็เกือบขึ้นตาแล้วครับ   แต่เชื่อมั้ย  เดือนเดียวผมปกติดี

อีกประการหนึ่งที่คนป่วยเบาหวานต้องปฏิบัติ  คือการควบคุมอาหารตามคำแนะนำของแพทย์  ตัวผมเองเมื่อรู้ว่าเป็นเบาหวาน ผมก็มีอาหารหม้อโปรดประจำตัว 2 เมนู สลับกันคือ  ต้มจับฉ่าย  ใส่ตีนไก่ ข้อไก่  ไม่เอาหมูและเนื้อ   ใส่ผักกาดกวางตุ้งและคื่นฉ่ายให้มาก   ผมกินได้ทุกมื้อ  หม้อหนึ่งคุ้ม 3 วันโน่นแหละ   อร่อยครับ ไม่เบื่อหรอก   อีกเมนูหนึ่งคือแกงส้มปลานิลก็ใส่ผักเยอะ ๆ เช่นกัน  กินได้กินดี   แต่ตักแล้วอย่าลืมตั้งไฟให้เดือดเก็บไว้นะครับ  เดี๋ยวเดือดปุด ๆ  บูดทั้งหม้อ

ติดต่อหมอเมือง  081-1795197


วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ภาวะเส้นเลือดตีบ


"ภาวะเส้นเลือดตีบ " อันตรายและพิการได้อย่างไร ?
  • ...วันนี้ผมบอกตามตรงเลยว่า...ชีวิตทุกคนอยู่บนเส้น ที่อะไรแอบแฝงอยู่ในร่างกายเยอะแยะมากมาย "อายุสั้น" คำนนี้อาจเป็นคำที่ใช้ได้ในปัจจุบันนี้ เพราะเรื่องสุขภาพทุกคนลืมมองตัวเองว่า เรากำลังแข่งขันกับอะไร เราแข่งกับหน้าที่การงานเพื่อหาเงินใช่ไหม และในขณะเดียวกัน เราก็แข่งกับความเป็นความตายของเราเช่นกัน.. ถามตัวเองหรือยังว่า วันนี้คุณเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า...
  • ...วันนี้ ผมเห็นคนที่ผมห่วงใยและเคารพ ต้องมาเจอกับสภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง มันช่างเป็นภาพที่ผมไม่อยากให้มันปรากฎขึ้นมา เพราะมันบอกถึงสัญญาณอันตรายของสมองและชีวิตเลยทีเดียวครับ ทำไมผมจึงผมแบบนี้.. แล้วเรามาฟังเรื่องราวที่ผม จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ในหน้าเพจของผมนี้ครับ..
  • "ภาวะเส้นเลือดตีบ " ไม่ใช่อาการที่เกิดจากเชื้อโรคต่างๆในร่างกาย แต่เกิดจาก ความเสื่อมของธาตุในร่างกายโดยตรง..
  • วันนี้มีหลายคนที่เชื่อในคำพูดผม และรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิดและบางคนก็ไม่เชื่อที่ผมบอกเล่าหรือแนะนำ อาการทุกอย่างก็ยิ่งแย่ไปยิ่งกว่าเดิม และสุดท้ายก็ต้องเจอฝันร้ายที่หลายคนไม่อยากเจอ....
  • ""ภาวะเส้นเลือดตีบ " ทางการแพทย์ปัจจุบันมักจะใช้การสแกนตรวจหาระบบเส้นเลือดในร่างกายหรือสมอง โดยส่วนมากจะเป็นเช่นนั้น การรักษาจึงดำเนินไปในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างที่จะช่วยชีวิตคนป่วยให้รอดพ้นจากอันตรายได้...
  • ถ้าเรามองกลับไปหรือย้อนเวลากลับไปจุดเริ่มต้นของทุกคนที่มี "ภาวะเส้นเลือดตีบ " จะเห็นได้ว่า คนเหล่านั้นจะมุ่งทำงานหนักอย่างมาก เพื่อให้ได้เงินทองมา เพื่อเลี้ยงครอบครัวหรือตัวเองนั่นเอง และลองมองลึกเข้าไปอีกว่า พฤติกรรมที่ผ่านมา เราใช้ชีวิตประจำวันทำอะไรบ้าง เราเคยบอกตัวเองบ้างไหมว่า "เราจะป้องกันสุขภาพ" วันนี้ผมบอกเลยว่า จะมีสักคน ที่อยากจะบอกตัวเองว่า ฉันจะรักษาและป้องการร่างกายตัวเอง ให้ป่วยน้อยที่สุด..
ทีนี้เรามาดูกันว่า "ภาวะเส้นเลือดตีบ " เกิดได้อย่างไร

สาเหตุ
  • 1.การทำงานหนักสะสมมา
  • 2.การพักผ่อนน้อย นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • 3.การนำกรดเข้าสู่ร่างกาย
  • 4.ความเครียดความกังวล
  • 5.ภาวะน้ำเย็นหรือการดื่มผิดวิธี
  • 6.ไม่เคยปรับสมดุลร่างกายหรือมีการปรับสมดุลร่างกายน้อยมากและร่วมถึง การปรับสมดุลไม่ถูกวิธีการ
  • นีี่คิอ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดการสะสมของความเสื่อมในร่่างกาย จนทำให้กระทบถึงเส้นเลือดในสมองในที่สุด..

  • ..วันนี้มีหลายคนที่เดินทางมาหาผม มีภาวะการปวดหัวอย่างรุนแรง และกำลังจะถูกกระทบเรื่องเส้นเลือดในสมอง ไม่ว่าจะตีบ จะแตก จะบวม ทุกคนที่ได้รับคำแนะนำและได้รับการแก้ไข ต่างก็ผ่านพ้นฝันร้ายไปได้อย่างหวุดหวิด...นี้แหละที่ผมอยากจะบอกว่า ถ้าเรารู้ทันอาการของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในร่างกาย เราก็พ้นจากจุดนั้นได้อย่างแน่นอน...

.."ถ้าโดยหลักการ" แบบธรรมชาติ
  • ลองคิดและมองภาพไปตามผมได้เลยครับ เส้นเลือดก็เปรียบเหมือนท่อน้ำนั้นเอง ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น สมอง และอวัยวะต่างๆของร่างกาย..
  • แล้วเรา มามองต่อการว่า...ถ้าท่อน้ำหรือเส้นเลือดการอุดตัน สมองเราจะเป็นอย่างไร มันก็หยุดทำงานใช่ไหมครับ..เมื่อสมองไม่มีเลือดไปเลี้ยง ทุกอย่างก็แย่ลงนั้นเองใช่ไหมครับ...
  • ..เพราะฉะนั้น เราต้องป้องกัน ไม่ให้ท่อน้ำของเราหรือเส้นเลือดของเราเกิดอุดตันใช่ไหมครับ.. หลักการทำงานของร่างกาย ไม่มีอะไรซับซ้อนในการทำงาน วันนี้ถ้า "ธาตุลม" เคลื่อนตัวได้ดี ท่อเลือดหรือเส้นเลือดของเราก็จะทำงานปกติ เพราะถ้าเมื่อไร ถ้า "ธาตุลม" ไม่พาเลือดเคลื่อนที่ เส้นเลือดก็จะค่อยๆตีบลงไปเรื่อยๆ จนทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง บางคนแค่ตีบ บางคนแค่สมองบวม แต่บางคนถึงกับเส้นเลือดในสมองแตก จนทำให้เสียชีวิต วันนี้หลายชีวิตที่กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้อยู่...และหลายคนกำลังวิตกกังวล ในอาการที่เป็นอยู่

การสังเกตุอาการ"ภาวะเส้นเลือดตีบ "
  • 1.นอนหลับยากไหม
  • 2.มีอาการท้องผูกไหม
  • 3.มีอาการปวดหัวบ่อยไหม
  • 4.มีอาการไมเกรนไหม
  • 5.เจอแดดจัด มีอาการวิงเวียนไหม
  • 6.บ่าแข็งไหม
  • 7.ท้ายทอย มีการปวดไหม
  • 8.เส้นเลือดข้างกระโหลก โตไหม
  • 9.การการชาไหม
  • 10.ลิ้นรับความรู้รสชาติได้ไหม
  • 11.ต่าพร่างมัวไหม
  • 12.มีการอ่อนแรงตามแขน ขาไหม
  • 13.ความดันสูงไหม
  • 14.มีการวูบไหม
  • 15.การพูดช้าลงไหม
  • 16.เสียงที่พูดออกมา เบาไหม
  • 17.มือมีสีเลือดไหม ถ้าไม่มีจะมีสีฝาดๆออกเหลือง
  • 18.เท้ามีสีเลือดไหม ถ้ามีจะเป็นสีแดงหรือชมพู
  • 19.มีการหดตัวของนิ้วไหม คือ อาการนิ้วยึด
  • 20.เท้ามีการหดตัวไหม หมายถึงเริ่มหงิกงอ
  • 21.มีการแข็งตังเส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอหรือไม่..
  • อาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะพบบ่อยมาก ในผู้ป่วยที่เป็นเส้นเลือดตีบ แตก บวม และกำลัง จะตีบ แตก บวม เช่นกันครับ
  • ก็ลองสำรวจตัวเองดูนะครับ ว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่..ถ้ามี คุณนั้นแหละต้องรู้ตัวเองว่า จะวางแผนอย่างกับการป้องกันและรักษา ตัวเองให้พ้นจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นนะครับ....ผมบอกตรงๆเลยว่า วันนี้ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้เจอกันหมด แต่เมื่อคุณเจอแล้วหรือกำลังจะเจอ คุณจะแก้ไขหรือป้องกันถูกทางหรือไม่เท่านั้นเอง...
  • ...วันนี้คุณไม่ต้องเชื่อผม ผมอยากให้คุณคิดและพิจารณาเองว่า ร่างกายตอนนี้ของคุณเป็นอย่างไร "ภาวะเส้นเลือดตีบ " เป็นอาการที่สะสมความเสื่อม ไม่ใช่เชื้อโรค บางคนเป็นแล้วตีบเลย แตกเลย ก็มีเยอะแยะครับ แต่ถ้าวันนี้คุณลองสำรวจตัวเองเอาเองว่า มีสัญญาณที่ผมกล่าวมาหรือไม่..
  • ..มีคนหลายคน ที่สงสัย และถามผมว่า "โรคนี้เข้าเครื่องสแกน" แล้วตรวพบเลยไม่ ขอตอบครับว่า " ถ้าเครื่องตรวจพบ" แสดงว่าคุณก็อยู่ในขั้นอันตรายเรียบร้อย ทุกวันนี้ ไม่มีเครื่องมือไหน ที่ตรวจสแกนหา "ธาตุลม" ได้ จะมีแค่เครื่องวัดความดัน ถ้าคุณมีความดันสูง แสดงว่า คุณมีสิทธิ์อย่างมากที่สุด จะเจอฝันร้ายในอนาคตอันใกล้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างแน่นอน....
  • ปัจจุบันนี้ "ความดันสูง" เป็นสาเหตุให้เกิดผลกระทบต่อระบบสมองมากที่สุด และทำให้คนป่วยเสียชีวิตมากที่สุดในโลกขนาดนี้ หมายถึง โรคที่เสียชีวิตที่ไม่มีภาวะเชื้อโรคมาเกี่ยวข้องนะครับ..
  • ..เอาละ ผมคิดว่า สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แก่ทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โทร.090-928-5999 / 091-564-1448 / 02-560-2456
"คลินิก ภูมิรเวช"